svasdssvasds

ส่องอนาคต ‘ธุรกิจโซลาร์เซลล์’ เชื่อนวัตกรรมสูงขึ้น ต้นทุนต่ำ เข้าถึงง่ายขึ้น

ส่องอนาคต ‘ธุรกิจโซลาร์เซลล์’ เชื่อนวัตกรรมสูงขึ้น ต้นทุนต่ำ เข้าถึงง่ายขึ้น

พาส่องอนาคต ‘ธุรกิจโซลาร์เซลล์’ ได้ไปต่อรับเทรนด์พลังงานสะอาดมาแรง เชื่อนวัตกรรมสูงขึ้น ต้นทุนต่ำ เข้าถึงง่ายขึ้น

SHORT CUT

  • โซลาร์กำลังกลายเป็นฐานพลังงานใหม่ของไทยต้นทุนถูกลง นวัตกรรมก้าวกระโดด และรัฐออกมาตรการหนุนเต็มที่ ทำให้ความต้องการติดตั้งเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะโซลาร์รูฟท็อปที่เติบโตเฉลี่ยปีละ 22%
  • โครงสร้างพลังงานไทยจำเป็นต้องพึ่งโซลาร์มากขึ้นเพราะก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย–เมียนมาลดลง ไทยต้องนำเข้า LNG มากขึ้น จึงต้องเร่งขยายพลังงานหมุนเวียนเพื่อความมั่นคงทางไฟฟ้าในระยะยาว
  • การแข่งขันสูง แต่ผลักอุตสาหกรรมให้พัฒนาเร็วขึ้นทั้งผู้เล่นไทย–ต่างชาติทำให้เทคโนโลยีใหม่เกิดเร็ว เช่น เพอรอฟสไกต์ แผงโปร่งแสง แผงยืดหยุ่น โซลาร์ลอยน้ำ จนถึงระบบอัจฉริยะ ส่งผลให้โซลาร์เข้าถึงง่าย คุ้มค่า และเป็นอนาคตพลังงานหลักของปี 2569 และต่อจากนี้

พาส่องอนาคต ‘ธุรกิจโซลาร์เซลล์’ ได้ไปต่อรับเทรนด์พลังงานสะอาดมาแรง เชื่อนวัตกรรมสูงขึ้น ต้นทุนต่ำ เข้าถึงง่ายขึ้น

ท่ามกลางโลกที่เผชิญทั้งวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ราคาพลังงานผันผวน และการแข่งขันเทคโนโลยีที่ร้อนแรงกว่าที่เคย ประเทศต่างๆ รวมถึงไทยกำลังเร่งวิ่งเข้าสู่เส้นทาง “พลังงานสะอาด” แบบไม่มีใครอยากช้ากว่าใคร และหนึ่งในดาวเด่นที่ยังคงส่องแสงแรงไม่หยุด ก็คือ โซลาร์เซลล์ เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ที่เติบโตต่อเนื่องทั้งด้านประสิทธิภาพ ต้นทุนที่ถูกลง และศักยภาพในการเป็นพลังงานหลักของอนาคต

วันนี้โซลาร์ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่กำลังกลายเป็น “ฐานพลังงานใหม่” ที่ทุกภาคส่วนต้องจับตา เพราะยิ่งโลกต้องการพลังงานสะอาดมากเท่าไร โซลาร์ก็ยิ่งก้าวขึ้นมาเป็นคำตอบที่ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม ทั้งสำหรับระบบพลังงานไทย และเศรษฐกิจโลกในภาพรวม โดยในปี2568 ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ได้มีการแนะผู้ประกอบการหันมาทำธุรกิจติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์สำหรับภาคครัวเรือนและธุรกิจ SMEs เพื่อรับมือค่าไฟในอนาคต และระยะเวลาคืนทุนเร็วขึ้น ส่งผลให้ตลาดโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) ในประเทศเติบโตอย่างก้าวกระโดดเฉลี่ยปีละ 22% หรือแตะระดับ 6.7 หมื่นล้านบาท ในปี 2568

ทั้งนี้มองว่าไทยต้องพึ่งแหล่งพลังงานจากต่างชาติทดแทนกำลังการผลิตในประเทศที่ลดลงมากกว่าที่ประเมินไว้ปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย และเมียนมามีแนวโน้มลดลงมากกว่าที่ประเมินไว้ โดยแหล่งเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้าของไทยทั้งหมดมาจากหลายแหล่ง (Electricity Mix) ซึ่ง 56.2% มาจากก๊าซธรรมชาติ (ส่วนใหญ่มาจากอ่าวไทยและเมียนมา) และก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่นำเข้าจากต่างประเทศ

อีกราว 43.8% มาจากพลังงานรูปแบบอื่นๆ (พลังงานหมุนเวียน และนำเข้าจากต่างประเทศ) อย่างไรก็ดี ก๊าซธรรมชาติที่มีราคาถูกที่ผลิตจากอ่าวไทยกลับทยอยลดลงอย่างต่อเนื่อง และลดลงมากกว่าที่ประเมินไว้ และมีแนวโน้มลดลงเหลือต่ำกว่า 40% ในปี 2575 ขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 0.7% ส่งผลให้ไทยจำเป็นต้องจัดหา และนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวเพิ่มเติมจากที่มีในสัญญาเพื่อรองรับความต้องการในการใช้งานในประเทศทำให้อีก 10 ปีข้างหน้า ไทยจำเป็นต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวจากต่างประเทศเกินกว่าครึ่งหนึ่งของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด

ส่องอนาคต ‘ธุรกิจโซลาร์เซลล์’ เชื่อนวัตกรรมสูงขึ้น ต้นทุนต่ำ เข้าถึงง่ายขึ้น

ttb analytics ประเมินมูลค่าตลาดโซลาร์รูฟท็อปในไทยจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 22% นับตั้งแต่ปี 2565-2568 หรือแตะที่ระดับ 6.7 หมื่นล้านบาท จากค่าแผงโซลาร์เซลล์ และค่าติดตั้งที่ปรับลดลงจนทำให้ระยะเวลาคืนทุนเร็วขึ้นจากเดิมที่คืนทุนในเวลา 9-12 ปี เป็น 6-8 ปีในปัจจุบัน (ขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้ไฟฟ้าในช่วงกลางวัน)

ขณะที่ปัจจุบันรัฐมีการส่งเสริมให้คนไทย และภาคธุรกิจหันมาติดตั้งโซลาร์เซลล์มากขึ้น อย่างเช่น ‘อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเปิดเผยว่า รัฐได้ออกแบบมาตรการเพื่อวางรากฐานพลังงานที่ควรจะเป็นในอนาคต ซึ่งวางมาตรการ Quick Big Win แบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก ดังนี้

1.โซลาร์เพื่อประชาชน แบ่งเป็น โซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ ที่เหลือจากแผน PDP ปี 2018 จะถูกเปลี่ยนจากการประมูลใหญ่เป็นการพัฒนาโครงการที่ภาคเอกชนต้องร่วมมือกับชุมชนขนาดโครงการไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ต่อชุมชน (ในทางปฏิบัติคือ 2-3 เมกะวัตต์ต่อจุดเชื่อมต่อ) ซึ่งจะกระจายไปสู่หลาย 100 ชุมชน ซึ่งการไฟฟ้าจะรับซื้อในราคา 2.16 บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 25 ปี

โดยผลประโยชน์ชุมชนที่จะได้รับ ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ 2.16 บาท กับค่าไฟฟ้าปกติ ซึ่งรัฐบาลมีข่าวดีว่าได้ลดลงเหลือ 3.88 บาท จะถูกนำไปเป็นส่วนลดค่าไฟให้กับชุมชนนั้นๆ ทั้งนี้ คาดว่าจะกระตุ้นการลงทุน 30,000 ล้านบาทต่อปี สร้างงาน 1,700 ตำแหน่ง และลดคาร์บอนได้เกือบ 1 ล้านตันต่อปี  

  • มาตรการลดหย่อนภาษีครัวเรือน โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.)อนุมัติให้ผู้ติดตั้งโซลาร์ในบ้าน สามารถนำค่าใช้จ่ายไม่เกิน 200,000 บาท ไปลดหย่อนภาษีได้ (มีผลจนถึง ธ.ค.2571) ที่ตั้งเป้า 90,000 ครัวเรือน กระตุ้นการลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท และลดคาร์บอนได้กว่า 200,000 ตันต่อปี
  • โซลาร์สูบน้ำเพื่อเกษตร ติดตั้งโซลาร์ฟาร์ม เครื่องสูบ ในพื้นที่เกษตรที่มีแหล่งน้ำตลอดปี เพื่อให้เกษตรกรสามารถเดินท่อสาขาเชื่อมต่อรับน้ำได้
  • โซลาร์ลอยน้ำ (Floating Solar) โครงการลงทุนโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ใน 3 เขื่อน เป้าหมายกำลังผลิต 1,600 เมกะวัตต์ โดยหน่วยงานภาครัฐประหยัดเงินกว่า 6 พันล้านบาท ซึ่งมีต้นทุนต่ำเนื่องจากไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าพื้นที่ และอยู่ใกล้ระบบส่งไฟฟ้า
  • ระบบโซลาร์ในประปาหมู่บ้าน ร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยนำระบบโซลาร์เข้าไปแทนที่ปั๊มน้ำที่ใช้เชื้อเพลิงหรือไฟฟ้าเดิม เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน

2. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ผ่านมาตรการ 1) Direct PPA เพื่อส่งเสริมพลังงานสะอาด และรองรับการลงทุนของ Data Center โดยมาตรการนี้อนุญาตให้ผู้ใช้งานโดยเฉพาะ Data Center สามารถเจรจาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงกับผู้ผลิตได้ โดย กฟผ.จะคิดเพียงค่าผ่านสาย รองรับ 2,000 เมกะวัตต์ กระตุ้นการลงทุน 60,000 ล้านบาท สร้างงาน 3,000 ตำแหน่ง และลดคาร์บอนได้ 1.6 ล้านตันต่อปี

  • การพัฒนาระบบจำหน่ายไฟฟ้าในพื้นที่ EEC โดยเร่งการลงทุนสร้างสายส่ง และโครงข่ายระบบในเขต EEC เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะจาก Data Center สามารถเพิ่มความสามารถในการรองรับอีก 3,800 เมกะวัตต์ กระตุ้นการลงทุน (รวมถึง Data Center) ประมาณ 500,000-600,000 ล้านบาท

3.การวางแผนระยะยาว ผ่าน 1) การจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับใหม่ เนื่องจากแผนเดิม (ปี 2018) ไม่สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero 2050 จึงมีการเร่งรัดให้คณะกรรมการจัดทำแผนประชุมทุกสัปดาห์ เพื่อให้แผนใหม่ออกมาให้ได้ในช่วงต้นปี 2026. แผน PDP ใหม่นี้จะเป็น "คัมภีร์" ที่ชี้ทิศทางพลังงาน 15-20 ปีข้างหน้า และให้นักลงทุนเห็นทิศทางการใช้พลังงานสะอาดของประเทศ

  • เชื้อเพลิงแห่งอนาคต โดยแผนในอนาคตจะไม่เพียงพอหากอาศัยแค่โซลาร์เท่านั้น จึงต้องนำเทคโนโลยีพลังงานใหม่เข้ามา เช่น ไฮโดรเจน ได้รับการประกาศให้เป็นเชื้อเพลิงของประเทศไทยแล้ว (เดิมไม่อยู่ในรายการของกรมธุรกิจพลังงาน) ซึ่งจะนำไปสู่การออกข้อกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ การขนส่ง และความปลอดภัย เพื่อกระตุ้นการลงทุนในเชื้อเพลิงสะอาดชนิดนี้
  • SMR คาดว่าจะต้องอยู่ในแผน PDP ฉบับใหม่ โดย SMR เป็นเตาปฏิกรณ์ขนาดเล็ก (200-300 เมกะวัตต์) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเดิม เนื่องจากมีระบบหล่อเย็นในตัวเอง และสามารถ Shut down ได้ทันทีเมื่อเกิดปัญหา พื้นที่ที่ต้องควบคุมพิเศษมีขนาดเล็กกว่ามาก (ประมาณ 1 ตร.กม. เทียบกับ 10-20 ตร.กม. ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่)
  • การดักจับ และกักเก็บคาร์บอน (CCS - Carbon Capture Storage) ไทยมีศักยภาพในการจัดเก็บคาร์บอนในอ่าวไทย รัฐบาลกำลังร่วมมือกับญี่ปุ่นสำรวจโครงสร้างใต้ดินเพื่อยืนยันความเหมาะสม ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจ หากจัดเก็บได้จริง จะเป็นธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพสูง อาจมีลูกค้าระดับภูมิภาค ซึ่งนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์แสดงความสนใจใช้บริการ  ดังนั้น หากดึงพันธมิตรเข้าร่วมลงทุน ถือเป็นโครงการขนาดใหญ่มูลค่าสูงถึง 400,000-500,000 ล้านบาท

ทั้งหมด คือ แผนงานที่รัฐกำลังเร่งทำอย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อกันว่าเทรนด์ของโซลาร์เซลล์จะมาแรงต่อไปในปี2569 และปีต่อๆไป โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า ในปี 2569 ความต้องการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน โดยปริมาณไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ขายให้ภาครัฐคาดว่าจะอยู่ที่ 24,303 GWh และภาคเอกชนคาดว่าจะอยู่ที่ 4,249 GWh เพิ่มขึ้น 2.8% และ 8% ตามลำดับ

ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ผู้ประกอบการจำหน่ายมากที่สุดในปี 2569 ได้แก่ไฟฟ้าชีวมวลและแสงอาทิตย์ตามลำดับ มีสัดส่วนรวมกันเป็น 79% ของไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ภาครัฐ และ 96% ของไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ภาคเอกชน และในปี 2569 โรงไฟฟ้าชีวมวล คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นทั้งจากการขายให้ภาครัฐและเอกชน ในขณะเดียวกัน สำหรับธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ความต้องการก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกันทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน สะท้อนถึงภาพรวมธุรกิจที่มีทิศทางเติบโตต่อเนื่อง

แม้ว่าธุรกิจโซลาร์เซลล์จะยังคงมาแรงต่อเนื่อง แต่…แน่นอนว่าการแข่งขันในตลาดจะมีความรุ่นแรงมากขึ้น ทั้งแบรนด์ไทย แบรนด์จีน และแบรนด์จากชาติอื่นๆที่จะตบเท้าเข้ามาชิงเค้กในไทยมากขึ้น แต่หลายฝ่ายก็มองว่าจะส่งผลดีในเรื่องของการแข่งขันกันใช้นวัตกรรม เช่น แผงเล็กลง ต้นทุนต่ำลง ทันสมัยมากขึ้น วันนี้จะพามาส่องเทรนด์พลังงานแสงอาทิตย์ในอนาคตข้างหน้าจะเป็นดังนี้

1.เพอรอฟสไกต์ (Perovskite)ดาวรุ่งมาแรง

  • โซลาร์เซลล์เพอรอฟสไกต์ ถูกคาดหมายว่าจะมาแทนซิลิคอนบางส่วน เพราะ
  • ผลิตง่าย ต้นทุนต่ำ
  • ประสิทธิภาพพุ่งเร็วแบบก้าวกระโดด
  • ใช้แสงน้อยก็ผลิตไฟได้ดี
  • สามารถทำเป็นฟิล์มบาง ติดบนพื้นผิวโค้งได้

2.โซลาร์เซลล์โปร่งแสง

  • โปร่งใสเหมือนกระจกปกติ
  • ส่งผ่านแสงบางส่วน แต่ดักพลังงานมาใช้
  • เหมาะกับอาคารเมืองใหญ่ที่มีพื้นที่จำกัด

3.โซลาร์เซลล์แบบยืดหยุ่น ติดที่ไหนก็ได้

  • พับ งอ ติดบนผิวโค้ง
  • ติดบนผนัง แผ่นโลหะ รถยนต์ โดรน หรือแม้แต่เสื้อผ้า

4.โซลาร์บนรถยนต์ EV และอุปกรณ์พกพา

  • รถ EV อนาคตอาจเพิ่มระยะวิ่งจากแผงโซลาร์บนหลังคา–ฝากระโปรงได้หลายสิบกิโลเมตรต่อวัน
  • มือถือ นาฬิกา และ IoT อาจ “ไม่ต้องชาร์จไฟ” หากอยู่ในที่สว่างพอ

5.โซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ (Floating Solar) รุ่นประสิทธิภาพสูง

  • ลดความร้อนของแผง ทำให้ผลิตไฟได้มากขึ้น
  • ใช้พื้นที่เขื่อน อ่างเก็บน้ำ
  • ลดการระเหยของน้ำ

6.โซลาร์ระบบ AI และ Smart Grid

  • พยากรณ์แสงแดดเพื่อจูนประสิทธิภาพแบบเรียลไทม์
  • ควบคุมการหมุนของแผงตามทิศดวงอาทิตย์
  • จัดการเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอัตโนมัติ

7.วัสดุใหม่แก้ปัญหาของเก่า

  • ทนความร้อนสูงขึ้น (เหมาะกับภูมิอากาศเอเชีย)
  • ใช้สารพิษน้อยลง
  • อายุการใช้งานยาวขึ้น
  • รีไซเคิลง่ายกว่าเดิม

ท้ายที่สุด “โซลาร์เซลล์ไทยปี 2569” ยังคงเดินหน้าแบบไม่มีถอย แม้ต้องเผชิญสนามแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นทุกปี ทั้งผู้เล่นรายใหญ่–รายใหม่แห่เข้ามาแสวงโอกาส แต่การแข่งขันนี้กลับผลักวงการให้เติบโตอย่างเป็นรูปธรรม ต้นทุนที่เคยสูงลิ่วค่อยๆ ถูกกดลงด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมรุ่นใหม่ ตั้งแผงบางลง ประสิทธิภาพดีขึ้น อายุการใช้งานยาวกว่าเดิม ไปจนถึงระบบอัจฉริยะที่ทำให้การติดตั้งและดูแลเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกบ้านและทุกธุรกิจ

เมื่อพลังงานแสงอาทิตย์เข้าถึงง่าย ราคาย่อมเยา และคุ้มค่ากว่าที่เคย ไทยจึงยืนอยู่บนจุดเริ่มต้นของรอบใหม่รอบที่พลังงานสะอาดไม่ใช่ “เทรนด์” อีกต่อไป แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ ปี 2569 จึงไม่ใช่เพียงปีแห่งการแข่งขัน หากเป็นปีที่โซลาร์เซลล์กำลังก้าวสู่มาตรฐานใหม่: ให้พลังงานต้นทุนต่ำ เปิดโอกาสทางธุรกิจ และพาไทยขยับเข้าใกล้อนาคตพลังงานที่ยั่งยืนยิ่งกว่าเดิม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related