
SHORT CUT
พาส่องอนาคต ‘ธุรกิจโซลาร์เซลล์’ ได้ไปต่อรับเทรนด์พลังงานสะอาดมาแรง เชื่อนวัตกรรมสูงขึ้น ต้นทุนต่ำ เข้าถึงง่ายขึ้น
ท่ามกลางโลกที่เผชิญทั้งวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ราคาพลังงานผันผวน และการแข่งขันเทคโนโลยีที่ร้อนแรงกว่าที่เคย ประเทศต่างๆ รวมถึงไทยกำลังเร่งวิ่งเข้าสู่เส้นทาง “พลังงานสะอาด” แบบไม่มีใครอยากช้ากว่าใคร และหนึ่งในดาวเด่นที่ยังคงส่องแสงแรงไม่หยุด ก็คือ โซลาร์เซลล์ เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ที่เติบโตต่อเนื่องทั้งด้านประสิทธิภาพ ต้นทุนที่ถูกลง และศักยภาพในการเป็นพลังงานหลักของอนาคต
วันนี้โซลาร์ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่กำลังกลายเป็น “ฐานพลังงานใหม่” ที่ทุกภาคส่วนต้องจับตา เพราะยิ่งโลกต้องการพลังงานสะอาดมากเท่าไร โซลาร์ก็ยิ่งก้าวขึ้นมาเป็นคำตอบที่ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม ทั้งสำหรับระบบพลังงานไทย และเศรษฐกิจโลกในภาพรวม โดยในปี2568 ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ได้มีการแนะผู้ประกอบการหันมาทำธุรกิจติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์สำหรับภาคครัวเรือนและธุรกิจ SMEs เพื่อรับมือค่าไฟในอนาคต และระยะเวลาคืนทุนเร็วขึ้น ส่งผลให้ตลาดโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) ในประเทศเติบโตอย่างก้าวกระโดดเฉลี่ยปีละ 22% หรือแตะระดับ 6.7 หมื่นล้านบาท ในปี 2568
ทั้งนี้มองว่าไทยต้องพึ่งแหล่งพลังงานจากต่างชาติทดแทนกำลังการผลิตในประเทศที่ลดลงมากกว่าที่ประเมินไว้ปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย และเมียนมามีแนวโน้มลดลงมากกว่าที่ประเมินไว้ โดยแหล่งเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้าของไทยทั้งหมดมาจากหลายแหล่ง (Electricity Mix) ซึ่ง 56.2% มาจากก๊าซธรรมชาติ (ส่วนใหญ่มาจากอ่าวไทยและเมียนมา) และก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่นำเข้าจากต่างประเทศ
อีกราว 43.8% มาจากพลังงานรูปแบบอื่นๆ (พลังงานหมุนเวียน และนำเข้าจากต่างประเทศ) อย่างไรก็ดี ก๊าซธรรมชาติที่มีราคาถูกที่ผลิตจากอ่าวไทยกลับทยอยลดลงอย่างต่อเนื่อง และลดลงมากกว่าที่ประเมินไว้ และมีแนวโน้มลดลงเหลือต่ำกว่า 40% ในปี 2575 ขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 0.7% ส่งผลให้ไทยจำเป็นต้องจัดหา และนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวเพิ่มเติมจากที่มีในสัญญาเพื่อรองรับความต้องการในการใช้งานในประเทศทำให้อีก 10 ปีข้างหน้า ไทยจำเป็นต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวจากต่างประเทศเกินกว่าครึ่งหนึ่งของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
ttb analytics ประเมินมูลค่าตลาดโซลาร์รูฟท็อปในไทยจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 22% นับตั้งแต่ปี 2565-2568 หรือแตะที่ระดับ 6.7 หมื่นล้านบาท จากค่าแผงโซลาร์เซลล์ และค่าติดตั้งที่ปรับลดลงจนทำให้ระยะเวลาคืนทุนเร็วขึ้นจากเดิมที่คืนทุนในเวลา 9-12 ปี เป็น 6-8 ปีในปัจจุบัน (ขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้ไฟฟ้าในช่วงกลางวัน)
ขณะที่ปัจจุบันรัฐมีการส่งเสริมให้คนไทย และภาคธุรกิจหันมาติดตั้งโซลาร์เซลล์มากขึ้น อย่างเช่น ‘อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเปิดเผยว่า รัฐได้ออกแบบมาตรการเพื่อวางรากฐานพลังงานที่ควรจะเป็นในอนาคต ซึ่งวางมาตรการ Quick Big Win แบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก ดังนี้
1.โซลาร์เพื่อประชาชน แบ่งเป็น โซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ ที่เหลือจากแผน PDP ปี 2018 จะถูกเปลี่ยนจากการประมูลใหญ่เป็นการพัฒนาโครงการที่ภาคเอกชนต้องร่วมมือกับชุมชนขนาดโครงการไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ต่อชุมชน (ในทางปฏิบัติคือ 2-3 เมกะวัตต์ต่อจุดเชื่อมต่อ) ซึ่งจะกระจายไปสู่หลาย 100 ชุมชน ซึ่งการไฟฟ้าจะรับซื้อในราคา 2.16 บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 25 ปี
โดยผลประโยชน์ชุมชนที่จะได้รับ ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ 2.16 บาท กับค่าไฟฟ้าปกติ ซึ่งรัฐบาลมีข่าวดีว่าได้ลดลงเหลือ 3.88 บาท จะถูกนำไปเป็นส่วนลดค่าไฟให้กับชุมชนนั้นๆ ทั้งนี้ คาดว่าจะกระตุ้นการลงทุน 30,000 ล้านบาทต่อปี สร้างงาน 1,700 ตำแหน่ง และลดคาร์บอนได้เกือบ 1 ล้านตันต่อปี
2. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ผ่านมาตรการ 1) Direct PPA เพื่อส่งเสริมพลังงานสะอาด และรองรับการลงทุนของ Data Center โดยมาตรการนี้อนุญาตให้ผู้ใช้งานโดยเฉพาะ Data Center สามารถเจรจาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงกับผู้ผลิตได้ โดย กฟผ.จะคิดเพียงค่าผ่านสาย รองรับ 2,000 เมกะวัตต์ กระตุ้นการลงทุน 60,000 ล้านบาท สร้างงาน 3,000 ตำแหน่ง และลดคาร์บอนได้ 1.6 ล้านตันต่อปี
3.การวางแผนระยะยาว ผ่าน 1) การจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับใหม่ เนื่องจากแผนเดิม (ปี 2018) ไม่สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero 2050 จึงมีการเร่งรัดให้คณะกรรมการจัดทำแผนประชุมทุกสัปดาห์ เพื่อให้แผนใหม่ออกมาให้ได้ในช่วงต้นปี 2026. แผน PDP ใหม่นี้จะเป็น "คัมภีร์" ที่ชี้ทิศทางพลังงาน 15-20 ปีข้างหน้า และให้นักลงทุนเห็นทิศทางการใช้พลังงานสะอาดของประเทศ
ทั้งหมด คือ แผนงานที่รัฐกำลังเร่งทำอย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อกันว่าเทรนด์ของโซลาร์เซลล์จะมาแรงต่อไปในปี2569 และปีต่อๆไป โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า ในปี 2569 ความต้องการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน โดยปริมาณไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ขายให้ภาครัฐคาดว่าจะอยู่ที่ 24,303 GWh และภาคเอกชนคาดว่าจะอยู่ที่ 4,249 GWh เพิ่มขึ้น 2.8% และ 8% ตามลำดับ
ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ผู้ประกอบการจำหน่ายมากที่สุดในปี 2569 ได้แก่ไฟฟ้าชีวมวลและแสงอาทิตย์ตามลำดับ มีสัดส่วนรวมกันเป็น 79% ของไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ภาครัฐ และ 96% ของไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ภาคเอกชน และในปี 2569 โรงไฟฟ้าชีวมวล คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นทั้งจากการขายให้ภาครัฐและเอกชน ในขณะเดียวกัน สำหรับธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ความต้องการก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกันทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน สะท้อนถึงภาพรวมธุรกิจที่มีทิศทางเติบโตต่อเนื่อง
แม้ว่าธุรกิจโซลาร์เซลล์จะยังคงมาแรงต่อเนื่อง แต่…แน่นอนว่าการแข่งขันในตลาดจะมีความรุ่นแรงมากขึ้น ทั้งแบรนด์ไทย แบรนด์จีน และแบรนด์จากชาติอื่นๆที่จะตบเท้าเข้ามาชิงเค้กในไทยมากขึ้น แต่หลายฝ่ายก็มองว่าจะส่งผลดีในเรื่องของการแข่งขันกันใช้นวัตกรรม เช่น แผงเล็กลง ต้นทุนต่ำลง ทันสมัยมากขึ้น วันนี้จะพามาส่องเทรนด์พลังงานแสงอาทิตย์ในอนาคตข้างหน้าจะเป็นดังนี้
1.เพอรอฟสไกต์ (Perovskite)ดาวรุ่งมาแรง
2.โซลาร์เซลล์โปร่งแสง
3.โซลาร์เซลล์แบบยืดหยุ่น ติดที่ไหนก็ได้
4.โซลาร์บนรถยนต์ EV และอุปกรณ์พกพา
5.โซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ (Floating Solar) รุ่นประสิทธิภาพสูง
6.โซลาร์ระบบ AI และ Smart Grid
7.วัสดุใหม่แก้ปัญหาของเก่า
ท้ายที่สุด “โซลาร์เซลล์ไทยปี 2569” ยังคงเดินหน้าแบบไม่มีถอย แม้ต้องเผชิญสนามแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นทุกปี ทั้งผู้เล่นรายใหญ่–รายใหม่แห่เข้ามาแสวงโอกาส แต่การแข่งขันนี้กลับผลักวงการให้เติบโตอย่างเป็นรูปธรรม ต้นทุนที่เคยสูงลิ่วค่อยๆ ถูกกดลงด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมรุ่นใหม่ ตั้งแผงบางลง ประสิทธิภาพดีขึ้น อายุการใช้งานยาวกว่าเดิม ไปจนถึงระบบอัจฉริยะที่ทำให้การติดตั้งและดูแลเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกบ้านและทุกธุรกิจ
เมื่อพลังงานแสงอาทิตย์เข้าถึงง่าย ราคาย่อมเยา และคุ้มค่ากว่าที่เคย ไทยจึงยืนอยู่บนจุดเริ่มต้นของรอบใหม่รอบที่พลังงานสะอาดไม่ใช่ “เทรนด์” อีกต่อไป แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ ปี 2569 จึงไม่ใช่เพียงปีแห่งการแข่งขัน หากเป็นปีที่โซลาร์เซลล์กำลังก้าวสู่มาตรฐานใหม่: ให้พลังงานต้นทุนต่ำ เปิดโอกาสทางธุรกิจ และพาไทยขยับเข้าใกล้อนาคตพลังงานที่ยั่งยืนยิ่งกว่าเดิม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง