svasdssvasds

ปัญหาฝุ่น PM 2.5 หมดเวลาโทษใคร! วาระแห่งชาติ ที่ต้องร่วมมือแก้ไขแบบบูรณาการ

ปัญหาฝุ่น PM 2.5 หมดเวลาโทษใคร! วาระแห่งชาติ ที่ต้องร่วมมือแก้ไขแบบบูรณาการ

ปัญหาฝุ่นภาคเหนือเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา PM 2.5 อยู่ในขั้นวิกฤตจนทำให้จังหวัดเชียงใหม่ขึ้นเป็นเมืองที่มีมลพิษจากฝุ่นควันมากที่สุดในโลก ปัญหาฝุ่นควันจึงถือเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องได้รับการแก้ไขเป็นการด่วน เพราะส่งผลกระทบกับสุขภาพและการใช้ชีวิตประจำวัน

วิกฤตฝุ่นภาคเหนือเป็นประเด็นที่วิพากย์กันอย่างกว้างขวางทุกภูมิภาคของไทยและทุกช่องทางสื่อสาร เพราะมีผลโดยตรงต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของคนไทยตลอดจนสิ่งแวดล้อม โดยนายไศลพงศ์ สุสลิลา นักวิชาการอิสระด้านสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ภาคเหนือตอนบนเรียกได้ว่าสาหัสมาก ได้แก่ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และเชียงราย ที่เจอควันพิษ 2 เด้ง ทั้งฝุ่นควันที่ข้ามแดนมาจากเมียนมาและที่เกิดขึ้นในประเทศเองจากฝีมือมนุษย์ เช่น การเผาตอซังหลังเก็บเกี่ยว ข้าว อ้อย และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หรือแม้แต่การเผาป่า เพื่อหาของป่าสร้างรายได้ อีกทั้งยังมีไฟป่าซึ่งเกิดจากธรรมชาติเหนือการควบคุม ถ้าเราแยกต้นเหตุออกเป็น 2 ทางเช่นนี้ การขับเคลื่อนการแก้ปัญหาจะรวดเร็วกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ปัญหาฝุ่น PM 2.5 หมดเวลาโทษใคร! วาระแห่งชาติ ที่ต้องร่วมมือแก้ไขแบบบูรณาการ

นายไศลพงศ์ ยังได้กล่าวว่า ในเรื่องการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 นั้นแต่ละฝ่ายก็มีการนำเสนอกันไปตามความเห็นส่วนตัวและหลักฐานที่หามาสนับสนุน เช่น การเผาป่าโดยมนุษย์ หรือ เกษตรกรเผาตอซังพืชเพื่อลดต้นทุน ตลอดจนบริษัทที่นำเข้าพืชเกษตรมาเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพด ให้หยุดนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่ยังมีการเผาตอซัง ทั้งที่ผลผลิตในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการและมีราคาสูง สิ่งเหล่านี้กลายเป็น “แพะรับบาป” เฉพาะกิจทันที เพราะทางออกแบบบูรณาการยังไม่คลอด

จากการวิพากย์สาธารณะนำไปสู่การระดมสมองทั้งจากภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ทั้งนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ ภาคเอกชน ตลอดจนนักการเมือง เพื่อยกระดับการแก้ปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 เป็น “วาระแห่งชาติ” หาแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมและเห็นผลในอนาคตอันใกล้ ได้บทสรุปเบื้องต้นว่า ต้องดำเนินการคู่ขนานกัน 2 ด้าน คือ

1. การแก้ปัญหาในประเทศ

2. การแก้ปัญหาในต่างประเทศ หรือระดับภูมิภาค ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินการเร่งด่วนและทันที

เนื้อหาที่น่าสนใจ :

ปัญหาฝุ่น PM 2.5 หมดเวลาโทษใคร! วาระแห่งชาติ ที่ต้องร่วมมือแก้ไขแบบบูรณาการ

นักวิชาการอิสระด้านสิ่งแวดล้อม แนะนำการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ต้องดำเนินการคู่ขนานกัน 2 ด้าน ดังนี้

1. การแก้ปัญหาในประเทศ

แก้ปัญหาฝุ่นผ่าน “พระราชบัญญัติอากาศสะอาด” โดยมีกรมควบคุมมลพิษ เป็นผู้ใช้อำนาจตามกฎหมาย แต่กฎหมายดังกล่าวที่มีการนำเสนอทั้งหมด 5 ฉบับ ถูกปัดตกในรัฐบาลชุดปัจจุบัน เหลือเพียง 2 ฉบับเท่านั้น โดยมีเนื้อหาหลักในการควบคุมและดูแล ให้ประชาชนได้มีอากาศที่สะอาดและบริสุทธิ์สำหรับใช้หายใจ รวมไปถึงการควบคุมและเอาผิดตลอดจนบทลงโทษกับต้นเหตุของการปล่อยให้มลภาวะออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ และจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด

นอกจากนี้ รัฐบาลต้องวางแผนแก้ปัญหาแบบบูรณาการ มีนโยบายสนับสนุนและส่งเสริมให้ภาคการเกษตรนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว รวมถึงการมีมาตรการสนับสนุนภาคประชาชนหันมาใช้รถไฟฟ้า พลังงานจากแสงอาทิตย์ (solar cell) และต้องมีมาตรการลดปัญหาการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และฝุ่นควันจากการผลิตในภาคอุตสาหกรรม 

2. การแก้ปัญหาในต่างประเทศ หรือระดับภูมิภาค

จำเป็นต้องมีการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน หรือในระดับ Asean เรื่องฝุ่นควันข้ามแดน เพื่อหารือแนวทางในการแกัปัญหาร่วมกัน หรือ ไทยควรกำหนดเงื่อนไขห้ามนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ตรวจสอบย้อนกลับถึงต้นทางการผลิตที่ปราศจากการเผา เพราะต่อให้ไทยมีมาตรการป้องกันในประเทศที่มีประสิทธิภาพและเข้มงวดเหนือคนอื่นก็ตาม หากประเทศเพื่อนบ้านยังคงมีการ “เผา” ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ฝุ่นควันจะปลิวมาในอากาศข้ามแดนมาไทย และไม่อาจหลีกเลี่ยงจากผลกระทบจากฝุ่นควันได้  ที่สำคัญการห้ามนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลมีหลักประกันอะไรให้ภาคปศุสัตว์ ให้มีวัตถุดิบสำคัญเพียงพอต่อการผลิตและหลักประกันให้กับผู้บริโภค สามารถหาอาหารได้ในราคาที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้าว นำเสนอว่า “การเผา” คือ เหตุผลทางเศรษฐกิจ ซึ่งผู้ซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านอยู่ในประเทศไทย รัฐบาลต้องมีมาตรการทางภาษีมาสกัดกั้นการนำเข้า หรือ การออกพันธบัตรป่าไม้ ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกป่าแทนปลูกพืชที่ต้องเผาตอซัง หรือทำให้เกิดมลพิษกับคนไทย ขณะที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้ข้อมูลว่า การห้ามนำเข้าสินค้าเกษตรใดๆ ผิดกฎ AFTA ซึ่งไทยต้องทำตามข้อตกลง หากไทยจะมีข้อยกเว้นต้องเจรจากับประเทศสมาชิก 

สรุปคือไม่ว่าข้อเสนอจากภาคส่วนใด ขอให้มีการกลั่นกรองให้เกิดการแก้ปัญหาฝุ่นควันอย่างบูรณาการ โดยไม่ต้องหา “แพะ” เช่นนี้ แต่ต้องยกระดับการแก้ปัญหาให้เป็นวาระแห่งชาติอย่างแท้จริง มีแผนดำเนินงานทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ มีหน่วยงานรับผิดชอบที่สนับสนุนการแก้ปัญหา เพื่อให้คนไทยมีอากาศบริสุทธิ์หายใจและใช้ชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ส่งต่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน