ผลสำรวจล่าสุดปี 68 เผยว่า แม้จะเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่สูงขึ้น คนไทยก็ยังคงกังวลกับปัญหา "สิ่งแวดล้อม" มากที่สุด แต่พฤติกรรมยังสวนทาง
ผลสำรวจล่าสุดปี 68 เผยว่า แม้จะเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่สูงขึ้น คนไทยก็ยังคงกังวลกับปัญหา "สิ่งแวดล้อม" มากที่สุด แต่พฤติกรรมยังสวนทาง
ผลสำรวจล่าสุดที่จัดทำโดยมาร์เก็ตบัซซ (หรือ Marketbuzzz) ร่วมกับวิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบว่าปัญหา "สิ่งแวดล้อมและมลพิษ" ยังคงเป็นความกังวลอันดับหนึ่งของคนไทย (44%) ตามมาด้วยปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น (42%) และภาพรวมเศรษฐกิจ (30%) สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมยังคงเป็นสิ่งที่คนไทยกังวลอย่างมาก แม้จะต้องเผชิญกับแรงกดดันทางการเงินที่ทวีความรุนแรงขึ้น
อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ยังคงสวนทางกับความกังวลที่เกิดขึ้น เพราะแม้ว่า 65% ของคนไทยเชื่อว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิต และอีก 48% เชื่อว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลงในอีก 5 ปีข้างหน้า แต่เมื่อสอบถามถึงการกระทำที่ได้ทำไปในสัปดาห์ที่ผ่านมา พฤติกรรมที่พบมากที่สุดคือ การปิดไฟ (50%) และปิดเครื่องปรับอากาศ (44%) เท่านั้น
ขณะที่มีเพียง 23% ที่ปรับพฤติกรรมเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง เช่น ปฏิเสธการใช้ถุงพลาสติกจากร้านค้า
คุณแกรนท์ บาร์โทลี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มาร์เก็ตบัซซ กล่าวว่า ความท้าทายในขณะนี้คือการเปลี่ยนผู้คนจากความกังวลแบบเฉยชาไปสู่การมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นให้มากขึ้น ซึ่งนับเป็นโอกาสดีที่แบรนด์ต่างๆ สามารถมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ เช่น การปรับคุณสมบัติของสินค้าให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ก็สามารถเป็นปัจจัยในการเลือกซื้อสินค้านั้นๆ ได้
ด้านผศ.ดร.ประภาภรณ์ ติวยานนท์ มงคลวนิช คณบดีวิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า งานวิจัยชิ้นนี้ชี้ให้เห็นความจริงที่ว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังมีความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังมีช่องว่างระหว่างความกังวลและลงมือทำ ซึ่งช่องว่างนี้ต้องการการสนับสนุนที่ชัดเจน เช่น โครงสร้างและนโยบายที่ส่งเสริมให้ทุกคนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
ขณะที่ภาคเอกชนก็มีบทบาทสำคัญ พวกเขามีทรัพยากรและอิทธิพลที่จะทำให้ผู้คนเข้าถึงผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ยั่งยืนได้ง่ายขึ้น เช่น ราคาที่ไม่แพง และการอำนวยความสะดวก เพราะเมื่อบริษัทต่างๆ เป็นผู้นำด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากจะช่วยบรรเทาวิกฤตโดยตรงแล้ว แต่ยังช่วยให้ผู้บริโภคสามารถมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาได้อีกด้วย