วิกฤตสารหนูในแม่น้ำกก ส่งผลกระทบต่อปางช้างบ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร ปางช้างจ.เชียงราย ที่อดีตมีนักท่องเที่ยวเนืองแน่น แต่มาวันนี้ นักท่องเที่ยวสักคนก็หายาก
วิกฤตสารหนูในแม่น้ำกก หนึ่งหายนะสารพิษข้ามพรมแดนครั้งใหญ่ของประเทศไทย ภาคประชาชนต่างออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหา โดยจะต้องเร่งเจรจาให้เหมืองต้นน้ำหยุดกิจการทันที
เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ที่พี่น้องริมกก ยังคงรอสัญญาณจากภาครัฐว่าจะมีการแก้ไขปัญหานี้หรือไม่อย่างไร แล้วเมื่อไหร่เราจึงจะรู้สึกปลอดภัย แต่ในวันนี้ เสียงของพวกเขายังคงส่งออกไปผ่านอากาศที่ว่างเปล่า
ปางช้างบ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย เป็นปางช้างที่ตั้งอยู่ติดกับน้ำแม่กกที่ไหลทอดยาวพาดผ่านปางช้างไป นักท่องเที่ยวสามารถมาเที่ยวสถานที่แห่งนี้ได้ทั้งทางบกและทางเรือ อดีต ปางช้างเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวสร้างรายได้จำนวนมากให้กับจังหวัดเชียงราย แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากนักท่องเที่ยว 100% เหลือเพียง 5% ผลพวงจากวิกฤตหลายด้าน และสารหนูที่ถูกพบในแม่น้ำกก ก็ยิ่งซ้ำเติมให้กิจการย่ำแย่ลงทุกชั่วขณะ
นายศรีทน คำแปง ผู้จัดการปางช้างบ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร เล่าว่า ในอดีตปางช้างแห่งนี้ มีนักท่องเที่ยวจากหลากหลายเชื้อชาติเข้ามาเที่ยว ขี่ช้างชมธรรมชาติ ให้อาหารช้าง เยี่ยมชมวิถีชีวิตของพี่น้องกะเหรี่ยงคอยาว โชว์งูเหลือมยาว 4 เมตร ขี่ ATV ลุยตามเส้นทางในป่า บ้างก็มาตั้งแคมป์อยู่เที่ยวยาว ๆ
บนถนนจะมีรถบัสของนักท่องเที่ยวเป็นสิบ ๆ คันจอดเรียงรายเต็มถนน ร้านรวงครึกครื้น ขายของกันแทบไม่ทัน ส่วนนักท่องเที่ยวที่มาทางเรือ ก็จะมีเรือมาจอดทุกวันประมาณ 30-40 ลำ แต่วันนี้พอมองออกไป รถบัสสักคันก็ไม่มี เรือที่มาจอด 2 ลำนั้นก็เป็นของมูลนิธิที่เขายังเอ็นดู ยังเห็นใจ พาเพื่อน ๆ ชาวต่างชาติมาเที่ยว แต่บางวันก็ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยสักคนเดียว
นอกจากนี้ ช้างในปางช้าง เมื่อก่อนมีมากถึง 40 เชือก ตอนนี้เหลือเพียง 9 เชือก จำเป็นต้องขายออกไปให้คนอื่นดูแล เพราะแบกรับค่าใช้จ่ายไม่ไหว ควาญช้างก็ลดน้อยลง เพราะเราก็ไม่มีเงินให้เขา ควาญที่ยังเหลืออยู่เขาอยู่เพราะเห็นใจ และยังคงให้ความช่วยเหลือในฐานะพี่น้อง
นายศรีทน เผยว่า วิกฤตสารหนูเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เข้ามาซ้ำเติมจากปัญหาเดิมที่เผชิญอยู่ ปางช้างเริ่มเผชิญหน้ากับวิกฤตครั้งแรกคือ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ถัดมาคือน้ำท่วมแม่สายที่ไหลมายังแม่น้ำกก น้ำสูงขึ้นหลาย 10 เมตร ทำหลังคาโรงเลี้ยงช้างพังถล่ม และการตรวจพบสารหนูหรือโลหะหนักในแม่น้ำกกครั้งนี้ คือวิกฤตที่ 3 ที่เข้ามาซ้ำเติมให้ปางช้างแย่ลง ซึ่งหากรัฐบาลไม่เร่งแก้ไขปัญหา ในอนาคตก็อาจนำไปสู่การใช้คำว่า “หายนะปางช้าง” ก็เป็นไปได้
สำหรับวิกฤตสารหนูในครั้งนี้ นอกจากนักท่องเที่ยวที่หายไป สุขภาพของคนในปางช้างก็เสี่ยงอันตรายอยู่ตลอดเวลา ในตอนแรกที่นายศรีทนรู้ข่าว จึงสำรวจช้างแต่ละตัว ก็พบว่า ช้างตัวหนึ่งที่ไปลงเล่นน้ำก่อนหน้านั้นเริ่มมีผื่นขึ้น เป็นจุดสีขาว ๆ จึงให้ปศุสัตว์มาช่วยดูและรักษาให้ ถัดมาไม่นาน ควาญช้างก็พบว่าผื่นลามขึ้นที่ขา บางคนเกาจนเป็นแผล หลังจากนั้น เลยสั่งห้ามให้ควาญและช้างลงใช้น้ำในแม่น้ำกกทันที
ช้างตอนนี้ เราเลี้ยงเขาแบบปล่อยให้ไปใช้ชีวิตในป่า พวกมันจึงเข้าไปอาบน้ำในป่าแทน ส่วนคนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ก็ต้องไปอาบในป่าเช่นกัน หรือไม่ก็ใช้น้ำปะปาภูเขา ซึ่งในปางช้างก็จะมีท่อต่อน้ำจากภูเขาลงมายังบ่อน้ำเล็ก ๆ นี้ ให้ช้างไว้กินใช้ปะพรมคลายร้อน
ชาวบ้านหลายคนยังกลัว ว่าน้ำจะไม่ปลอดภัย ส่วนใหญ่หลายบ้านจะเจาะบาดาล ใช้น้ำจากใต้ดินที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำกก ตอนนี้ต้องชะลอการใช้ไปก่อน หลายคนก็ยอมควักเงินในกระเป๋า ซื้อน้ำจากข้างนอกมาใช้ในครัวเรือน ซึ่งก็จะแพงขึ้นเพราะต้องมาส่งไกล ซึ่งยังไม่มีหน่วยงานไหนมาแจ้งเลย ว่าน้ำใช้ได้หรือไม่อย่างไร
นายศรีทน เผยความในใจด้วยสีหน้านิ่งเรียบว่า “อยากให้รัฐลงมาดูก่อน มาดูว่าชาวบ้านอยากให้แก้ไขตรงไหนบ้าง หากถามความรู้สึกตอนนี้คือ รัฐบาลไม่ได้เรื่อง เอาจริง ๆ มันจุกอก พูดไม่ออก ไหนว่าจะช่วย ๆ ๆ ไม่เห็นได้อะไรเลย มันเลยความโกรธไปแล้วครับ โดนมา 3 รอบแล้ว ก็เหมือนเดิม หลังคาผมเสียบาทนึงก็ไม่ให้ น้ำท่วมมาบาทนึงก็ไม่ให้ เขาไม่เหลียวแลเราเลย”
บทสัมภาษณ์ ณ วันที่ 6 มิถุนายน 2568 โดยทีมงาน SPRiNG