สรุปให้ กรมอุทยานฯเตรียมปลดล็อก "เหี้ย" เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองที่ประชาชนสามารถเพาะพันธุ์ได้ แต่ไม่ใช่ใครก็เลี้ยงได้ นี่คือข้อควรรู้ก่อนเลี้ยงเหี้ย
เหี้ย หรือ ตัวเงินตัวทอง (Varanus salvator) กำลังจะได้รับการเลื่อนขั้น เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองที่ประชาชนสามารถเพาะพันธุ์ได้อย่างเป็นทางการ เนื่องจาก ที่ประชุมกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ครั้งที่ 1 ประจำปี 2568 มีวาระเร่งด่วนในการผลักดัน “เหี้ย” สู่การเป็นสัตว์เศรษฐกิจเต็มตัว เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์อย่างยั่งยืนกับการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประชาชน
หากประกาศใช้จริง “เหี้ย” จะสามารถเพาะพันธุ์ได้จริง แต่ไม่ได้หมายความว่า คุณจะเดินเข้าไปสวนลุมฯ แล้วไปจับมาเลี้ยงเป็นของตัวเองได้เลย ไม่ใช่นะ ตัวเหี้ยที่เพาะเลี้ยงได้นี้ จะต้องเป็นเหี้ยที่อยู่ในสถานีเพาะเลี้ยงที่ได้รับอนุญาตให้จำหน่าย ให้แก่ผู้มีใบอนุญาตในการเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์เท่านั้น และเหี้ยเลี้ยงทุกตัวจะต้องทำการฝังไมโครชิพ เพื่อป้องกันการลักลอบนำเหี้ยจากธรรมชาติมาเลี้ยง
นั่นหมายความว่า ห้ามจับเหี้ยในธรรมชาติมาเลี้ยง จะเลี้ยงต้องขอใบอนุญาตเสียก่อน ส่วนเหี้ยที่ยังเดินไปมาในธรรมชาติ จะยังคงได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายเหมือนเดิม เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ห้ามมิให้ผู้ใดล่า หรือมีไว้ครอบครอง รวมถึงซาก หากฝ่าฝืนมีความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 1 ล้าน หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนใหญ่ เหี้ยในสถานีเพาะเลี้ยง มาจากการที่ประชาชนแจ้งความเดือดร้อนเข้ามา ว่าสร้างความรำคาญให้กับพื้นที่ หากปล่อยกลับไปก็สร้างปัญหาเหมือนเดิม
สำหรับตอนนี้ กรมอุทยานฯ กำหนดราคาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์เหี้ยอยู่ที่ตัวละ 500 บาท โดยคำนวนมาจากค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูของกรมฯ และเป็นการเทียบเคียงจากราคางูเหลือมตัวละ 400 บาท บวกค่าฝังไมโครชิพ 100 บาท รวมเป็น 500 บาท หากเลี้ยงไปแล้วมันมีลูกต้องแจ้งฝังไมโครชิพทุกตัว
ปัจจุบัน พ่อพันธุ์แม่พันธุ์เหี้ยมีจำหน่ายที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน จ.ราชบุรี และมีเอกชนแจ้งความประสงค์ที่จะซื้อพ่อแม่พันธุ์แล้วประมาณ 30-40 คู่ เพื่อเปิดกิจการเพาะพันธุ์เหี้ย