มะเดี่ยว - วรพจน์ บุญความดี เขาคือนักธรรมชาติวิทยา ที่ตระเวนบันทึกเสียงธรรมชาติจากระบบนิเวศในไทยเก็บไว้บนเว็บไซต์ให้เราสามารถเข้าไปฟังได้ แล้วอะไรคือแรงผลักให้เขาทำสิ่งเหล่านี้
ว่ากันว่ามนุษย์ชอบละเลยของสำคัญใกล้ตัว
ไม่สิ, ต้องบอกว่าชีวิตมนุษย์ถูกกำหนดให้ละเลยของสำคัญใกล้ตัว
ในช่วงที่สรรพชีวิตกำลังดำเนินไปอย่างรีบเร่งในเมืองใหญ่ บ่ายวันหนึ่งที่สวนรถไฟ เรามีนัดกับ ‘มะเดี่ยว - วรพจน์ บุญความดี’ ชายวัย 30 ปลาย ผู้หลงใหลการฟังเสียงธรรมชาติ และบันทึกเก็บไว้ฟังส่วนตัว เป็นเสียงธรรมชาติส่วนตัว
สวนรถไฟมีเนื้อที่ 375 ไร่
เรานั่งหลบแดดกันอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่แถวเมืองจราจรจำลอง ห่างจากประตูทางเข้า 1 กิโลเมตร
และถนนกำแพงเพชร 2 อยู่ไกลจากเรา 1-2 กิโลเมตร
“หว๊อบ หว๊อบ หว๊อบ” นกเค้าแมวตัวหนึ่งส่งเสียงร้องไปตามธรรมชาติของมัน บินโฉบฉิวเล่นล้อไปกับสายลม ระหว่างบินมันเห็นคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งกำลังสุมหัวฟังเสียงใต้น้ำที่ลำธารเล็ก ๆ ใจกลางสวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) ฟังอย่างตั้งใจ
“ลองมาฟังสิครับ เราอยู่กลางสวนแบบนี้ แต่ยังได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถชัดแจ๋วเลย” มะเดี่ยวกวักมือให้ไปสวมหูฟัง แล้วพิสูจน์ในสิ่งที่เขาพูด
ในลำธารแคบ น้ำสูงครึ่งหน้าแข้ง เราได้ยินเสียงรถวิ่งกระหึ่มอยู่ไกล ๆ ฟังนานเข้าได้ยินเสียงเบรก “เอี๊ยดด” แทบไม่เชื่อหูตัวเอง เสียงเดินทางผ่านอากาศมาถึงใต้น้ำจนได้ยินชัดแจ๋วขนาดนี้ได้ยังไง
“เดี๋ยวลองปรับ low cut นะครับ เอาเสียงถนนออก”
“…..”
“ได้ยินเสียง น่าจะเสียงปลา...ไม่ก็แมลง มันร้อง กรอด กรอด”
“นั่นเสียงปลากริมครับ” มะเดี่ยวเฉลยเจ้าของเสียง
“เสียงต่างกันเยอะมากเนอะ แบบแรกคือเสียงที่เราได้ยินปกติในชีวิตประจำวัน เราอยู่ท่ามกลางเสียงแบบนี้ การปรับ low cut คือการลบเสียงความถี่ต่ำจากเครื่องยนต์ออก”
เบอร์นีย์ เคลาส์ นักนิเวศวิทยาด้านเสียงชาวอเมริกัน โดยให้ผมไปดูคลิปที่เคลาส์ขึ้นพูดบน TED เวทีที่เปิดโอกาสให้ speaker มาแชร์ประสบการณ์และแบ่งปันเรื่องราวภายในเวลาสั้น ๆ
12 ปีที่แล้ว เคลาส์ขึ้นพูดในหัวข้อ ‘เสียงในโลกธรรมชาติ’ มีคนดูแค่ 1.8 แสนวิว คอมเมนต์อีกร้อยกว่า นักบันทึกเสียงธรรมชาติรุ่นใหญ่เล่าให้ฟังว่าอย่างนี้
ในปี 1988 บริษัทรับตัดต้นไม้รายใหญ่โน้มน้าวชาวบ้านในซานฟรานซิสโก เพื่อขอตัดต้นไม้บนภูเขาเซียร์ร่า เนวาดา ด้วยวิธี ‘ตัดแบบคัดเลือก’ (selective logging) ตัดต้นไม้เป็นหย่อม ๆ ไม่ตัดให้โกร๋นไปทั้งป่า และสัญญาว่าจะไม่เกิดผลกระทบใด ๆ ต่อสิ่งแวดล้อม
ถ้ามองด้วยตาเปล่า ไม่มีทางรู้ว่าความอุดมสมบูรณ์ และความหลากหลายทางชีวภาพของป่าเป็นยังไง ดีขึ้น แย่ลง หรือเหมือนเดิม แต่เคลาส์ทำคนหน้าเวทีและผู้ชมทางบ้านอึ้งไปตาม ๆ กัน
เสียงบนภูเขาเซียร์ร่า เนวาดา ที่เคลาส์บันทึกเก็บไว้ตั้งแต่ก่อนไม้ถูกตัด ระหว่างตัด และหลังตัด บอกเราว่าป่าแห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์น้อยลง จากป่าที่มีเสียงนกนานาชนิด หนหลังที่เคลาส์กลับไปบันทึกเสียง มีเสียงเจาะไม้ของนกหัวขวาน แค่ชนิดเดียว...
เสียงสำคัญขนาดนั้น
แล้วมะเดี่ยว คือ ใคร
“เสียงมันบอกคุณลักษณะที่มากกว่าแค่ภาพที่ตาเราเห็น แต่บางครั้งถูกลืมไป เพราะมนุษย์เรารับรู้โลกผ่านการมองเห็น เราตาดี๊ดีมองเห็นทุกอย่าง จนลืมว่าเสียงมันมีอิทธิพลกับตัวเรามาก”
มะเดี่ยว - วรพจน์ บุญความดี เป็นเจ้าของคำพูดเมื่อครู่
มะเดี่ยวเป็นนักธรรมชาติวิทยาและนักสื่อสารธรรมชาติ
มะเดี่ยวเป็น ‘ครูมะเดี่ยว’ คอยพาเด็ก ๆ เที่ยวและเรียนรู้ระบบนิเวศในธรรมชาติ
มะเดี่ยวเป็นทีมงานเบื้องหลังรายการ ‘อ่านป่ากับหมอหม่อง’ ที่ออกฉายทางช่อง Thai PBS
มะเดี่ยวเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง praisan.org เว็บไซต์รวบรวมเสียงธรรมชาติจากระบบนิเวศ 12 แห่งทั่วไทย มาให้ฟังกันฟรี ๆ
มะเดี่ยวเป็นนักบันทึกเสียงแบบที่ ‘เบอร์นีย์ เคลาส์’ ทำมาตลอด 50 ปี
"เราโชคดีที่คนรอบตัวเป็นคนในวงการธรรมชาติเยอะ เขาก็เข้าใจ หลายคนสนับสนุนอยู่ตลอด ด่าไม่ค่อยมี (หัวเราะ)"
"แต่ว่ามันก็ยากเนอะ มันเป็นงานที่ต้องลงทั้งแรงและเวลา ตอนนี้ทุนของกองทุนสื่อหมดแล้ว เราก็ไม่ได้ออกไปอัดเสียงแบบที่ใจเราอยากอัด เราก็ทำงานอื่นเพื่อเลี้ยงชีวิตไปพลาง แต่ยังพกเครื่องบันทึกเสียงไปด้วยทุกครั้ง"
"เราเชี่ยวชาญด้านการคว้าน้ำเหลว (หัวเราะ)"
"เราเดินทางไปบันทึกเสียงมา 12 ที่ แต่ละที่ยากหมดเลย เวลาบันทึกเสียง noise มันเป็นเรื่องใหญ่ เราต้องหาที่ที่เงียบที่สุด แต่บางทีมันก็ไม่มีที่ที่เงียบจริง ๆ หรือบางทีเรานั่งรถจากกรุงเทพฯ ไปต่างจังหวัดหลายชั่วโมง ไปถึงฝนตกทั้งวัน จบกัน"
"วิธีแก้คือเราไปซ้ำที่เดิมหลายครั้ง อย่างเขาใหญ่เราไปมา 5-6 รอบ เพื่อให้ได้วัตถุดิบที่ดี ดีแค่พอใช้ได้ด้วยนะ เพราะถ้าใครเคยไปเที่ยวเขาใหญ่จะรู้ว่ามีเครื่องบินผ่านบ่อย แต่เราไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน"
"ครั้งแรกที่ไปบันทึกเสียงธรรมชาติเขาใหญ่ เราเดินเข้าไปในป่าลึกประมาณ 1 กิโลเมตร ฟังดูจนมั่นใจว่าไม่มีเสียงรบกวนแน่นอน ปรากฏว่าเราได้ยินเสียงรถ ที่ต้องใส่เกียร์ต่ำเพื่อขับขึ้นเขา และเสียงเครื่องบิน เราฟังจนรู้ว่าเขาใหญ่มีเครื่องบินผ่านทุก 15 นาที"
"อีกสิ่งที่เราค้นพบคือ ถ้าจะอัดเสียง บันทึกตอนเช้าจะดีที่สุด เพราะเป็นช่วงที่ชีวิตคึกคักที่สุด อย่างน้อยเป็นช่วงเวลาที่ปลอดเสียงจากมนุษย์ หนหลัง ๆ เราเลยไปตั้งแต่ตี 5 เพื่อติดตั้งเครื่องบันทึกรอไว้"
"เราชอบเล่นในธรรมชาติ ตอนเด็กเราโตมาในสวนที่บางกระเจ้า เล่นคนเดียว กิจกรรมที่ชอบคือดูนก เราดูนกมาตั้งแต่ ม.4 - ม.5"
"ก็...ประมาณ 20 กว่าปีมาแล้วนะ (หัวเราะ)"
"ทีนี้ สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เราเรียนที่คณะวิทยาศาสตร์ ม.ศิลปากร โฟกัสด้านนกโดยเฉพาะ ซึ่งใครที่ศึกษาเรื่องนก คุณต้องฝึกสกิลการฟัง ฝึกฟังจนเชี่ยวชาญ เพราะเราไม่มีเวลานั่งดูนกตลอด 24 ชั่วโมง เช้าเย็นถึงค่ำมันทำอะไร เราไม่รู้ แต่ถ้าฟังจากเสียงเราพอแกะรอยได้ จนถึงตอนนี้ เราก็ฟังสะสมความรู้มาเรื่อย ๆ พูดอีกแง่หนึ่งคือ เสียงมันสำคัญกับเราในฐานะปัจเจกบุคคล ที่เลือกใช้ชีวิตแบบนี้"
"และสำหรับเราเสียงว่าสำคัญแล้ว แต่เชื่อมั้ย...สำหรับคนตาบอด เสียงสำคัญยิ่งกว่านั้นมาก"
"เพื่อนเราคนหนึ่ง เขาเป็นคนตาบอด สามารถบอกได้เลยว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนจากการฟังเสียงสิ่งแวดล้อมรอบตัว เขาบอกว่าเสียงธรรมชาติเหมือนเป็นเพื่อนเขา คอยเยียวยาไม่ให้รู้สึกโดดเดี่ยวมาก"
"ครั้งหนึ่ง เราเคยพาเพื่อนคนนี้ไปเที่ยวเขาใหญ่ เขาก็เดินเกาะแขนเราไป จู่ ๆ เขาก็สะกิดบอกว่าตรงนี้มันเป็นทุ่งหญ้าใช่มั้ย เราก็งงนะว่ารู้ได้ไง เขาบอกได้ยินเสียงจิ้งหรีดเยอะมากเลย เราคนตาดีไม่ได้สังเกต เราแค่เห็นป็นทุ่งหญ้า แต่เขาได้ยินแล้วบอกได้ทันทีว่าถึงทุ่งหญ้าแล้ว"
"เราคิดว่าการฟังมันก็คล้ายกับศาสตร์อื่นนะ ถ้าทำซ้ำเรื่อย ๆ เราจะแยกได้ว่าเสียงร้องแบบนี้เป็นเสียงของอะไร เสียงนกชนิดไหน แยกได้แม้กระทั่งเสียงดีกับเสียงไม่ดี พอเราฟังแต่เสียงดีบ่อยเข้า เราจะไม่อยากฟังเสียงไม่ดี"
"มองได้หลายมุม เราคิดว่าทุกวันนี้ ชีวิตประจำวันเรามี noise pollution เยอะเกินไป"
"เราเชื่อว่าคนที่มีโอกาสอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เขาก็เลือกที่จะไม่ใส่หูฟัง อยากใช้เวลาไปกับการฟังเสียงนก เสียงน้ำใหล เพราะฟังแล้วรู้สึกสบายใจ ผ่อนคลาย แต่เดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยเห็นใครพูดถึง noise pollution กันแล้ว ทั้ง ๆ ที่เรายังเจอกับมันอยู่ทุกวัน"
"เราจำได้เคยมีกระแสเกี่ยวกับมลพิษทางเสียงคือตอนที่กรุงเทพฯ มีรถไฟฟ้าใหม่ ๆ คนบ่นกันว่ารถไฟฟ้าเสียงโฆษณาดังมาก ทำงานมาเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ทำไมต้องฟังดาราขายสินค้าอีก แล้วก็มีคนออกมาเรียกร้อง รถไฟฟ้าเลยยอมลดระดับความดังลง"
"ยุคนี้ต่างออกไป เราไม่บ่นเสียงโฆษณากันแล้ว คนคุยกันเสียงดังก็ไม่มีปัญหา เพราะเราใส่หูฟังกันตลอดเวลา มันแปลกตรงที่ ถ้าเราจะปิดเสียงรอบตัว เพื่อตัดตัวเองออกจากโลกภายนอก ต้องหาอะไรที่ดังกว่ามาใส่หู เพราะเราปิดหูไม่ให้ได้ยินเสียงไม่ได้"
"ไม่ได้หมายว่าเราสนับสนุนให้คนพูดเสียงดังในที่สาธารณะตามอำเภอใจนะ เราคิดว่าพอเราอยู่รวมกันในเมือง ใกล้ชิดกันขนาดนี้ ยิ่งต้องระวังในสิ่งที่เราสร้างไม่ให้ไปรบกวนคนอื่นหรือชีวิตอื่น ถ้าตระหนักได้ เราก็จะอยู่กันดีขึ้น เป็นสังคมที่มันน่าอยู่"
ที่อ่าวมะนาว จ.ประจวบคีรีขันธ์ เสียงคลื่นซ่านเซ็น ลมโกรกให้บรรยากาศผ่อนคลาย
หลังกิจกรรมรับน้องเสร็จสิ้น นักศึกษา ม.ศิลปากรกลุ่มหนึ่งร้องเล่นเต้นระบำกันอย่างสนุกสนาน มะเดี่ยว นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ผละตัวออกจากวง (เหล้า) มานั่งฝากใจไว้กับเสียงน้ำซัดที่ริมหาด
"ตอนนั้นได้ยินเสียงคลื่นซัดเข้ามาดัง ซุ่ม ซุ่ม แล้วก็ ซู่ เงียบออกไป"
"แต่มันมีเสียงกุ๊งกิ๊ง กุ๊งกิ๊ง จนเรารู้ว่า อ๋อ อ่าวมะนาวมีเปลือกหอยเต็มไปหมดเลย เวลาคลื่นดึงออกจะมีเสียง กุ๊ิงกิ๊ง กุ๊งกิ๊ง เบา ๆ"
"เราชอบเสียงนั้นมาก ถัดมาหลายปี กลับไปอีกทีนึงเพื่อจะไปฟังอีก ปรากฏมันไม่มีแล้ว เอ๊ มันหายไปไหน เราเลยรู้สึกว่าเสียงพวกนี้เป็นสิ่งที่ควรบันทึกเก็บไว้ สมัยนั้นใช้เครื่อง MP3 อัดเสียง ก็อัดเก็บมาเรื่อย ๆ"
นอกจากบันทึกเสียง ambience ของระบบนิเวศในธรรมชาติแล้ว อีกหนึ่งความสนใจของมะเดี่ยวคือบันทึกเสียงใต้น้ำ
มะเดี่ยวเล่าว่าอาวุธในการบันทึกเสียงใต้น้ำไม่ต่างจากการบันทึกเสียงบนบก มีแค่ 1 ชิ้นที่เพิ่มเข้ามาคือ Hydrophone ไมค์โครโฟนสำหรับการบันทึกใต้น้ำ ส่วนที่ขาดไปไม่ได้เลยคือ sound recorder และหูฟังครอบหู
"มาสลับที่นั่งกัน ลองฟังด้วยตัวเองแล้วจะเข้าใจ” นักบันทึกเสียงลุกปัดกางเกง พลางส่งหูฟังมาให้
เวลาใส่หูฟังครอบหู ผมรู้สึกเหมือนลงไปแหวกว่ายในน้ำ เช่นปลาตัวหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศใต้น้ำ ใต้น้ำมีเสียงทึม ๆ อื้อ ๆ มีเสียงก๊อกแก๊ก ก๊อกแก๊ก มีเสียงเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต แต่บอกไม่ได้ว่าคืออะไร หรือตัวอะไร
มะเดี่ยวผละตัวออกไป ปล่อยผมฟังเสียงใต้น้ำอยู่ 5 นาที ฟังอย่างไร้จุดหมาย
เจ้าตัวคงทราบว่าผมได้เยือนอาณาจักรแอตแลนติสครบทุกซองทุกมุมแล้ว จึงเดินกลับมานั่งที่เดิมของตนเอง
"เราคิดว่าใต้น้ำมันเงียบ แต่จริง ๆ มีเสียงเยอะมาก เนี่ยอย่างเสียงแหลม ๆ เล็ก ๆ คือเสียงของพวกแมลงน้ำ ส่วนเสียง ทิ๊ด ทิ๊ด ทิ๊ด คือเสียงของมวนกรรเชียง คล้ายกับจิ้งหรีดหรือจั๊กจั่น น้ำมีความหนาแน่นสูงกว่าอากาศ ดังนั้น เสียงจะไปได้ไกลกว่า สัตว์ที่อยู่ในน้ำเวลามันคุยกันก็จะใช้เสียงมาก"
"อันนี้ ดังมาก โอ๊ะ มีเสียงปลากริมครับ ปลากริมมันจะร้อง กรอด กรอด กรอด จริง ๆ ปลาหลายชนิดส่งเสียง พวกปลากลุ่ม cat fish ปลามีหนวด หรือปลาหนังทั้งหลายแหล่ ส่งเสียงหมดเลย"
"ไม่รู้หรอก (หัวเราะ)"
"แต่สัตว์น้ำกับสัตว์บกมันก็คล้าย ๆ กัน เวลาจะสื่อสารมันต้องการบอกข้อความแค่ไม่กี่อย่าง เช่น จับคู่ เรียกตัวเมีย ไล่ตัวผู้ออกไป ร้องมากิน หรือร้องเตือนภัย วนอยู่แค่นี้"
"เราสามารถรู้ความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศใต้น้ำแต่ละแห่งได้จากการฟัง"
"แหล่งน้ำธรรมชาติแต่ละที่ก็ไม่เหมือนกัน มีความเฉพาะตัวสูง อย่างแหล่งน้ำจืดเราจะได้ยินเสียงแมลงน้ำ ร้อง ที๊ด ที๊ด ที๊ด คล้าย ๆ จิ้งหรีด และถ้าใต้น้ำบริเวณนั้นมีพืชน้ำเราจะได้ยินเสียงแมลงน้ำ แมงมุม หรือจิงโจ้น้ำ"
"ถ้าเป็นทะเลเราจะได้ยินเสียงของกุ้งดีดขัน (Snapping shrimps) กล้ามมันใหญ่มาก มันชอบอยู่ตามพื้นทราย หรือแนวปะการัง เวลาเจอศัตรู และต้องล่าเหยื่อมันจะทำเสียงแบบนี้ (เขาดีดนิ้วสามครั้งเลียนเสียงกุ้งดีดขัน)"
"แต่เรามีข้อสันนิษฐานส่วนตัวเหมือนกันนะ เราเชื่อว่าระบบนิเวศในธรรมชาติไม่ว่าใต้น้ำหรือบนบก ถ้าไม่มีสารเคมีเราจะได้ยินเสียงของสิ่งมีชีวิต"
"เราเคยบันทึกเสียงในนาข้าว เป็นนาที่เกษตรกรใช้ยาฆ่าแมลง เราแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ขณะที่นาที่เป็นออแกนิคนี่ โอ้โห เสียงระงมเลย ดังนั้น เราสันนิษฐานว่าที่นี่ (สวนรถไฟ) น่าจะไม่ได้ใช้ยา"
"อย่างที่บอกไปตอนแรก เราเชื่อว่าแหล่งน้ำแต่ละที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน แต่ยังตอบไม่ได้ชัด ๆ เพราะศาสตร์เรื่องเสียง มันยังไม่ค่อยมีคนทำ จนตอนนี้เราก็แทบจะไม่รู้เลย มีแค่ชาวบ้านที่หาปลาบ่อย ๆ ที่พอบอกได้ว่าเสียงแบบนี้คือปลาชนิดไหน แต่ไม่มีใครบันทึกไว้"
"ใช่ เรารู้สึกว่าทุกอย่างในโลกมันค่อย ๆ เสื่อมไป เราควรอัดเก็บไว้เป็นหลักฐาน อย่างภาพถ่ายเราเก็บไว้เยอะ แต่เสียงไม่ค่อยมีคนอัดเก็บไว้เท่าไหร่"
"เราคุยกับเพื่อนในกรมประมงก็บอกไม่มีใครทำเรื่องนี้ คุยกับอาจารย์ที่ ม.อุบลฯ ซึ่งแกเลี้ยงปลาไว้มหาศาลเลย แกบอกว่าไม่มีใครทำเรื่องเสียงเลย แต่แกรู้ว่าช่วงฤดูผสมพันธ์ปลามันคุยกันอยู่ในตู้ ร้องตะโกนข้ามตู้กัน แต่ไม่เคยบันทึกไว้"
"ยิ่งเราบันทึกมาเรื่อย ๆ และได้รู้ว่าบ้านเราไม่ค่อยมีใครอัดเสียงธรรมชาติไว้ เราก็ยิ่งรู้ว่ามันเป็นของที่ต้องรีบเก็บไว้ เพราะมันหายไปเร็วมากจริง ๆ"
"ใช่, เราตั้งใจไว้อย่างนั้น เราอยากให้มี Sound banks หรือฐานข้อมูลเสียงธรรมชาติของไทย อาจจะรวมไปถึงเสียงของวัฒนธรรมด้วยก็ได้"
"ตอนนี้ ต่างประเทศตื่นตัวเรื่องนี้กันมาก ยิ่งเข้าสู่ยุค AI ด้วยแล้ว ที่เมืองนอกมีเครื่องบันทึกที่สามารถเอาไปทิ้งไว้กลางป่าได้ แล้ว AI ก็ส่งข้อมูลกลับมา มันวิเคราะห์ให้หมดเลยว่าพื้นที่ตรงนั้นมีความสมบูรณ์แค่ไหน และเก็บไว้ใน archive จริงจัง เราว่ามันสำคัญ อย่างน้อย ๆ ก็สำหรับงานอนุรักษ์"
"และเราเชื่อว่าบ้านเราก็ทำแบบต่างประเทศได้ เราฉลาดกันขนาดนี้"
"มันต้องได้สิ"
"ถ้าเราบอกคนอื่นว่า เห้ย...คุณไปอยู่กับธรรมชาติให้มากกว่านี้สิ คุณต้องมาสนใจสิมันจะหายไปอยู่แล้วนะ เราเชื่อว่าจนเราตายก็ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เราพูด ไม่ใช่ว่าเราไม่น่าเชื่อถือนะ แต่วิธีการสื่อสารแบบนี้มันผิดธรรมชาติมนุษย์"
"และเราเรียกตัวเองว่าเป็นนักธรรมชาติวิทยา เราอยากทำให้คนเข้าใจธรรมชาติมากขึ้น สิ่งที่เราพอจะทำได้และทำไหวก็คือเรื่องเสียงนี่แหละ เราเดินทางไปบันทึกเสียงธรรมชาติจากหลาย ๆ ที่มาเก็บไว้ เพื่อให้คนเมืองฟัง ซึ่งคนเมืองเอาตัวไปฟังเองทุกวันไม่ได้ แค่ได้กดฟังก็ยังดี หรือใช้เป็น sound theraphy ก็ยังได้"
"หรือถ้ามีคนที่ฟังแล้วรู้สึกอยากได้ยินเสียงดี ๆ แบบนี้ แล้วออกไปฟังด้วยหูตัวเอง เราจะแฮปปี้มาก เรารู้สึกว่าชีวิตในเมืองทำให้เราไกลธรรมชาติ เสียงมันก็เป็นช่องทางหนึ่งให้เรากลับไปหามันได้"
"และเดี๋ยวนี้ คนเริ่มรู้แล้วว่าชีวิตที่ขาดธรรมชาติมันเป็นไปไม่ได้ พ่อแม่ผู้ปกครองพยายามสร้างสร้างดุลให้กับเด็ก ๆ ซึ่งเด็กเจนนี้เกิดมาในยุคที่เทคโนโลยีเฟื่องฟูมาก ดังนั้น ก็เรียนเรื่องเทคโนโลยีไปด้วย และเข้าใจธรรมชาติไปด้วย"
"โรงเรียนมีหลักสูตรเยอะมากที่ให้เด็กกลับไปสู่ธรรมชาติ เช่น ให้เด็กปลูกข้าว จับแมลง เล่นน้ำคลุกโคลนตามท้องร่อง แนวคิดมันค่อย ๆ เปลี่ยน แต่ไม่ได้บอกว่าเราต้องทิ้งเทคโนโลยี หรือเลิกใช้โทรศัพท์นะ"
"เราอยู่ในโลกทั้งสองใบได้ จัดสรรชีวิตเอา"
"เริ่มที่บ้าน ตื่นเช้ามาชงกาแฟ มาที่ระเบียงบ้านหรือในสวนก็ได้ ตั้งใจฟังสัก 3 นาที เราจะได้ยินเสียง อันดับแรกคุณได้ยินเสียงนกก่อนเลย แล้วจะค่อย ๆ ได้ยินเสียงลมพัด เสียงใบไม้ไหว ถ้าเราทำบ่อย ๆ นานเข้าเราจะได้ยินมากขึ้นและจะได้ยินการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ"
"วันดีคืนดีได้ยินเสียงจั๊กจั่นร้อง อ๋อ...เข้าฤดูร้อนแล้ว เราจะได้ยินความเปลี่ยนแปลงกับหู และเอาตัวเองไปเชื่อมต่อกับธรรมชาติมากขึ้น"
"เราคิดว่าถ้าตั้งใจฟังมากพอ เราจะรู้ว่าสิ่งที่ทำมันรบกวนใครอยู่ไหม แต่ถ้าไม่ได้ยินเลย เราไม่มีทางรู้เลยว่ารบกวนอะไรอยู่"
เรื่อง: วงศกร ลอยมา