รองนายกฯ สุชาติ” สั่งการกรมทะเล เดินหน้ามาตรการเข้ม รับมือพะยูนตายและการล่าเอาเขี้ยวพะยูน ย้ำ “ไม่ใช่แค่นับศพ แต่ต้องเปลี่ยนเป็นรักษาชีวิต” 2 ปี พบ พะยูนเกยตื้นทั้งหมด 112 ตัว เป็นพะยูนที่ถูกลักลอบตัดเขี้ยว/หัว จำนวน 8 ตัว
พะยูน...สัตว์ทะเลหายากที่ใครหลายคนอาจเห็นแค่ในสารคดี แต่รู้ไหม? พะยูนคือ “ตัวชี้วัดสุขภาพของทะเลไทย” วันนี้จำนวนของมันเหลือเพียง 203 ตัว จากเดิมกว่า 280 ตัวในปี 2565 และภายใน 2 ปีที่ผ่านมา เราสูญเสียพะยูนไป 112 ตัว ในจำนวนนั้นมีถึง 8 ตัวที่ถูกลักลอบตัดเขี้ยวและหัว ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องช่วยกันเร่งรักษาพะยูน
ล่าสุด นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยถึงแผนรับมือพะยูนตายและการล่าเอาเขี้ยวพะยูนในปัจจุบัน เนื่องจากสถานการณ์ล่าสุด ในวันที่ 5 ตุลาคม 2568 พบพะยูนถูกตัดหัว บริเวณหน้าหาดบ้านหลังเกาะ หมู่ 7 ตำบลเกาะศรีบอยา อำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่
และจากสถานการณ์การเกยตื้นของพะยูน ในปีงบประมาณ 2566 – 2568 พบพะยูนเกยตื้นทั้งหมด 112 ตัว เป็นพะยูนที่ถูกลักลอบตัดเขี้ยว/หัว จำนวน 8 ตัว และข้อมูลในปีงบประมาณ 2569 พบพะยูนเกยตื้นทั้งหมด 2 ตัว เป็นพะยูนที่ถูกลักลอบตัดเขี้ยว/หัว จำนวน 1 ตัว โดยทั้งหมดถูกตัดหลังตายแล้ว จึงได้สั่งการให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการสืบสวนหาผู้กระทำผิดอย่างเร่งด่วน เน้นย้ำ “ไม่ใช่แค่นับศพ แต่ต้องเปลี่ยนเป็นรักษาชีวิต” กำชับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ให้เพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก
ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า กรมฯ ได้หารือร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) เกี่ยวกับแผนงานโครงการในการป้องกันปราบปรามการตัดเขี้ยวพะยูน พร้อมดำเนินการในมาตรการเชิงรุกแบบบูรณาการ ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน ผ่านแนวทางสำคัญ ได้แก่ การเฝ้าระวังและป้องกัน จัดตั้งทีมลาดตระเวนในแหล่งหญ้าทะเล ใช้เทคโนโลยีโดรนและระบบ citizen science ในการติดตามพะยูน และพิจารณาประกาศเขตคุ้มครองใหม่ การช่วยเหลือฉุกเฉิน
โดยตั้งทีมกู้ชีพสัตว์ทะเล พร้อมสัตวแพทย์ประจำในโรงพยาบาลสัตว์ทะเลหายาก (ภูเก็ต/ตรัง) การป้องกันการล่า และลักลอบ ดำเนินการสืบสวนร่วมกับกรมอุทยานฯ และตำรวจในพื้นที่ โดยบังคับใช้กฎหมายตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ซึ่งกำหนดโทษสูงสุดจำคุก 15 ปี หรือปรับ 1.5 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ในการจัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการการวินิจฉัยและการเก็บข้อมูลตามหลักนิติวิทยาศาสตร์ รวมถึงการฟื้นฟูถิ่นอาศัย เพาะพันธุ์หญ้าทะเลในบ่อกุ้งร้าง กั้นคอกฟื้นฟูหญ้า ฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเลเสื่อมโทรม และสร้างการมีส่วนร่วม จัดอบรมเครือข่ายชาวประมง อาสาสมัครช่วยพะยูน พร้อมรณรงค์สื่อสารให้สังคมรู้คุณค่าของพะยูน ลบล้างความเชื่อผิด ๆ ที่เชื่อว่า “เขี้ยวพะยูนเป็นของขลัง”
ดร.ปิ่นสักก์ กล่าวเพิ่มเติมถึง สถานการณ์ประชากรพะยูนในประเทศไทยว่า ปัจจุบันอยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง หลังพบว่าจำนวนพะยูนลดลงต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยจากเดิมที่มีประมาณ 280 ตัวในปีงบประมาณ 2565 ปัจจุบันเหลือเพียงประมาณ 203 ตัว แบ่งเป็นฝั่งอันดามัน 187 ตัว และฝั่งอ่าวไทย 16 ตัว สาเหตุหลักมาจากการเสื่อมโทรมของแหล่งหญ้าทะเล ซึ่งเป็นแหล่งอาหารสำคัญของพะยูน
อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจล่าสุดพบว่าหลายพื้นที่เริ่มมีการฟื้นตัวของแหล่งหญ้าทะเล ส่งผลให้พะยูนบางส่วนเริ่มกลับมาอาศัยในถิ่นเดิมอีกครั้ง ดังนั้น “อย่าให้ความเชื่อผิดๆ มาทำลาย 1 ชีวิต อย่างไร้ค่า เพราะพะยูนไม่ใช่เพียงสัตว์ทะเลหายาก แต่เป็น ตัวชี้วัดสุขภาพของทะเลไทย การปกป้องพะยูนจึงไม่ใช่แค่การอนุรักษ์สัตว์ชนิดหนึ่ง แต่คือการรักษาระบบนิเวศชายฝั่งที่เป็นทุนชีวิตของชุมชน และเป็นพันธสัญญาของไทยต่อประชาคมโลก