ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสวทช. พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและนักวิจัย แถลงข่าวสรุปผลงาน สวทช. ประจำปี 2566 “สวทช. ขับเคลื่อนงานวิจัย BCG เพิ่มคุณภาพชีวิตคนไทย สู่ความยั่งยืน” พร้อมเปิดนโยบาย 11 BCG Implementation ปี 2567
อว. โดย สวทช. จัดงานแถลงข่าว เพื่อแสดงความมุ่งมั่นขององค์กรวิจัยระดับชาติในการพัฒนาประเทศตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG ด้วยการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสนับสนุนภาคส่วนต่าง ๆ ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. แถลงว่า สวทช. ในยุค 6.0 ได้ประกาศวิสัยทัศน์ที่ต้องการให้ สวทช.เป็นขุมพลังหลักของประเทศด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ในการพัฒนาระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมให้เข้มแข็ง ตามนโยบายที่ นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้มอบไว้คือ “เอกชนนำ รัฐสนับสนุน”
ทั้งนี้ สวทช. ได้ระดมบุคลากรจากหลายส่วนงานมาร่วมขับเคลื่อนและผลักดันยุทธศาสตร์ NSTDA Core Business สร้างพลังวิจัยรับใช้สังคม โดยเพิ่มบทบาทการทำงานเชิงรุกผลักดันงานวิจัยให้เข้าถึงประชาชนและใช้ประโยชน์ในวงกว้าง ช่วยลดช่องว่างปัญหาคอขวดของงานวิจัย ให้เห็นผลเป็นที่ประจักษ์ชัดในสังคมมากขึ้นและยังได้รับการตอบรับจากประชาชนผู้ใช้งานจริงหลักล้านคนในหลายภาคส่วน
พลังวิจัยรับใช้สังคม ลดช่องว่าง ประชาชนเข้าถึงและใช้ประโยชน์จริง
“ตัวอย่างผลงานในปี 2566 ที่ประชาชนและผู้ให้บริการจากหน่วยงานภาครัฐ สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากพัฒนาเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นโดย สวทช. และถูกนำไปใช้จริงในหน่วยบริการขนาดใหญ่ของภาครัฐเพื่อให้บริการภาคประชาชน 2 ด้าน สำคัญ ได้แก่
1.Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมและผู้ให้บริการมีระบบการติดตามแก้ปัญหาที่รวดเร็วขึ้น ผ่านช่องทางแอปพลิเคชันไลน์ (LINE @TraffyFondue) จากการใช้บริการแพลตฟอร์ม Traffy Fondue มีผู้ร้องเรียนผ่าน Traffy Fondue กว่า 5 แสนครั้ง
2. A-MED Digital Healthcare Platform แพลตฟอร์มที่ถูกพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาการบริการด้านสาธารณสุขของประเทศ โดยการพัฒนาระบบบริการด้านสาธารณสุข A-MED Care Pharma เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขขั้นปฐมภูมิผ่านร้านยา
ทั้งนี้ผลจากการที่ร้านยาคุณภาพใช้ระบบ A-MED Care Pharma ของ สวทช. ไปสนับสนุนการบริการประชาชนในโครงการเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 อาการ ณ ร้านยาคุณภาพที่เข้าร่วมโครงการมากกว่า 1,600 แห่ง รวมบริการมากถึง 1.1 ล้านครั้งแล้ว นอกจากนี้ สวทช. ยังมีอีก 2 ด้านที่เกี่ยวกับภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ FoodSERP แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน ในรูปแบบ One stop service ที่ครอบคลุมด้านพัฒนากระบวนการผลิตและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารฟังก์ชัน เวชสำอาง และสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ (Functional ingredients) วิเคราะห์ทดสอบด้านประสิทธิภาพ คุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์
รวมถึงการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ ซึ่งให้บริการแก่ผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชนและหน่วยงานภาครัฐ รวม 106 ราย สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ระดับอุตสาหกรรมได้มากถึง 18 ผลงาน และ Industry 4.0 Platform แพลตฟอร์มให้บริการ Digital Transformation สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิตแบบครบวงจร ที่รวบรวมบริการและกิจกรรมสนับสนุนการยกระดับภาคอุตสาหกรรม
ช่วยให้ผู้ประกอบการไทย สามารถดำเนินการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนและของเสีย ลดผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถให้บริการแก่โรงงานกว่า 100 โรงงาน ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI) ออกมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยใช้ผลการประเมิน Thailand i4.0 Index เป็นเกณฑ์การพิจารณา ทั้งนี้ผู้ประกอบการสามารถนำเงินลงทุน 100% ไปหักจากภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นเวลา 3 ปีได้อีกด้วย
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ตลอดปี 2566 สวทช. สามารถผลิตผลงานวิจัยและเทคโนโลยีที่ภาครัฐ เอกชน และประชาชน นำไปใช้ประโยชน์ในวงกว้าง สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม มูลค่า 46,000 ล้านบาท เกิดการลงทุนทางด้าน วทน. มูลค่า 15,000 ล้านบาท ยกระดับอุตสาหกรรมด้วยโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยให้บริการวิเคราะห์ทดสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ และให้คำปรึกษาทางเทคโนโลยีมากกว่า 83,000 รายการ
ด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม สวทช. สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา พร้อมทั้งถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ภาคเอกชนและอุตสาหกรรมนำไปสู่การใช้งานจริงเชิงพาณิชย์
ด้านการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรและชุมชนให้เข้มแข็ง สวทช. ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่เกษตรกรทั่วประเทศ 14,200 คน
สำหรับการพัฒนาและสร้างเสริมบุคลากรวิจัยให้แก่ประเทศ โดยสนับสนุนบัณฑิตและนักวิจัยอาชีพ ผ่านการให้ทุน รวม 713 คน และส่งเสริมการเรียนรู้ด้าน วทน. ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ และค่ายวิทยาศาสตร์ โดยมีเยาวชนและครูเข้าร่วม 10,264 คน
ชูวิจัยเด่นปี 66 ด้านเกษตรแม่นยำ-ชีวภัณฑ์เพื่อการเกษตร ด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ
นอกจากนี้ สวทช. ได้นำตัวอย่างผลงานวิจัยเด่นจาก 5 ศูนย์เทคโนโลยีแห่งชาติ มาร่วมจัดแสดง อาทิ ชีวภัณฑ์เพื่อการเกษตร (ผลงานโดยไบโอเทค) ประกอบด้วย ชีวภัณฑ์ควบคุมแมลงศัตรูพืช และชีวภัณฑ์ควบคุมโรคพืช ชีวภัณฑ์ควบคุมวัชพืช นอกจากนี้ทีมยังได้พัฒนา SOP คู่มือการจัดการศัตรูพืชด้วยชีวภัณฑ์แบบครบวงจรสำหรับทุเรียนและถั่วฝักยาว
เพื่อเป็นตัวช่วยให้เกษตรกรดูแลรักษาจัดการแปลงเกษตรกรรมของตน รวมถึงส่งเสริมให้ใช้ชีวภัณฑ์ได้อย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ และได้ดำเนินการเผยแพร่ในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) ผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ของทีมวิจัยและพันธมิตร รวมไปถึงได้นำไปใช้เป็นสื่อเรียนรู้ในการจัดอบรมให้แก่เกษตรกรกว่า 150 ราย
ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ HandySense (ผลงานโดยเนคเทค) เทคโนโลยีเซนเซอร์และระบบควบคุมอัตโนมัติ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการแปลงเพาะปลูก ช่วยลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรอย่างน้อย 20% ปัจจุบันมีศูนย์ต้นแบบการถ่ายทอดเทคโนโลยีสมาร์ทฟาร์มมากกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ และประกาศเป็นเทคโนโลยีแบบเปิด เพื่อให้ผู้สนใจนำไปใช้ประโยชน์ ชุดตรวจวัดโลหะหนักในพืชสมุนไพรและน้ำ
EnPAT น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยากจากปาล์มน้ำมันไทย (ผลงานโดยเอ็นเทค) ช่วยป้องกันไฟไหม้จากเหตุการณ์หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด ยกระดับความปลอดภัยของประชาชน พร้อมเปิดโอกาสสู่เศรษฐกิจโอเลโอเคมีมูลค่าสูง
อีกทั้งร่วมขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ระดับประเทศและจังหวัดนำร่อง มีจำนวนผู้ที่ได้รับการพัฒนาทักษะ BCG สะสม ปี 2564 - 2565 รวมกันกว่า 6 แสนคน และมีสัดส่วนของเศรษฐกิจ BCG สูงขึ้นในจังหวัดนำร่อง เช่น จันทบุรีและราชบุรี
ปักธง ปี 67 รวมพลังวิจัย สวทช. ขับเคลื่อนงานวิจัย BCG เพิ่มคุณภาพชีวิตคนไทย สู่ความยั่งยืน
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในปี 2567 สวทช. ยังคงมุ่งมั่นนำองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญการวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ขยายผลงานวิจัยไปยังภาคส่วนต่าง ๆ ตามนโยบายที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ศุภมาส อิศรภักดี ได้เน้นย้ำให้เร่งผลักดันงานวิจัยเข้าถึงประชาชนและสนับสนุนการดำเนินงานของภาคเอกชนอย่างเต็มกำลัง โดยปักธง รวมพลัง สวทช. ขับเคลื่อนงานวิจัย 11 BCG Implementation ด้วยกลยุทธ์ “1 ลด - 2 เพิ่ม - 1 สร้าง” ที่จะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตคนไทยอย่างยั่งยืน
“2 เพิ่ม” คือ เพิ่มอัตราการเติบโตทางศรษฐกิจ ประกอบด้วย 2 โครงการวิจัย ได้แก่ 1.สารสกัดมูลค่าสูง กะเพรา กระชายดำ ใบบัวบก โดยพัฒนากระบวนการผลิตสารสกัดมาตรฐาน ระดับอุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์อาหาร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และ 2. แพลตฟอร์มการผลิตอาหารฟังก์ชัน และ Functional Ingredients เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชัน อาหารเฉพาะทาง และอาหารอนาคต รวมถึงร่วมสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรม Functional ingredients ยกระดับความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอาหารและเวชสำอางของประเทศ
และ เพิ่มการพึ่งพาตนเอง ประกอบด้วย 4 โครงการวิจัย ได้แก่ 1.Digital healthcare ขยายผลแพลตฟอร์มบริการการแพทย์ปฐมภูมิและระบบเบิกจ่าย / การเบิกจ่าย / การบริการการแพทย์ฉุกเฉิน / บริการ
ข้อมูลและเฝ้าระวังโรค / ล่ามภาษามือทางไกลสำหรับการแพทย์ 2.วัคซีนสัตว์ ทดสอบประสิทธิภาพต้นแบบวัคซีนออโตจีนัส ASFV เชื้อตายพัฒนากระบวนการผลิตวัคซีน ASFV สู่การผลิตในประเทศ 3.ชุดตรวจโรคไตและเบาหวาน พัฒนาชุดตรวจติดตามโรคไตและเบาหวานที่ขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์กับ อย. และเข้าระบบสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) และ 4.National AI Ecosystem พัฒนาระบบนิเวศส่งเสริมการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ในภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม
และ “1 สร้าง” คือ สร้างความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย 2 โครงการวิจัย ได้แก่ 1.ตัวชี้วัดและฐานข้อมูล CO2 , CE, SDGs พัฒนาตัวชี้วัดสำคัญเพื่อสนับสนุนแนวทาง SDGs ปรับปรุงฐานข้อมูลวัฎจักรชีวิตระดับประเทศ รวมถึงตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนและเศรษฐกิจหมุนเวียน และ 2. Industry 4.0 Platform สนับสนุนการยกระดับอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืน โดยมุ่งการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดการใช้ทรัพยากร ลดการปลดปล่อยของเสีย และการปรับตัวเข้าสู่มาตรฐานอุตสาหกรรมสีเขียว