svasdssvasds

SCG รุกตลาดเวียดนาม ปักหมุดบ้านหลังที่ 2 เมืองใหม่โตเร็ว เร่งขยายปูนคาร์บอนต่ำสู่ตลาดโลก

SCG รุกตลาดเวียดนาม ปักหมุดบ้านหลังที่ 2 เมืองใหม่โตเร็ว เร่งขยายปูนคาร์บอนต่ำสู่ตลาดโลก

แชร์ประสบการณ์การลงทุน เมื่อ "เวียดนามกลายเป็นบ้านหลังที่ 2 ของ SCG" ในวันที่เศรษฐกิจโตแรงและอาจแซงไทย แรงงานมีแต่คนหนุ่มสาว เมืองใหม่ขยายตัว โอกาสทองวัสดุก่อสร้างสายกรีน

“อีกไม่นาน เศรษฐกิจเวียดนามอาจโตแซงไทย” สิ่งนี้อาจไม่เกินจริง เนื่องจากปัจจุบัน เวียดนาม ถือว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด หลังจากผ่านพ้นช่วงสงครามไปเมื่อประมาณ 50 ปีก่อน จึงต้องเร่งเครื่องการพัฒนาให้เติบโตเท่าทันนานาประเทศ

เมืองฮานอย ด้วยประชากร 106 ล้านคน โดยกว่า  60-70% เป็นวัยแรงงาน และอยู่ในช่วงวัยรุ่นสร้างตัว ใครไปเวียดนามบ่อย ๆ จะเห็นได้เลยว่า คนทำงานบริการส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในช่วงวัยที่ก็ไม่เด็กมากและสูงวัยมากเกินไป อีกทั้ง อัตราการเกิดก็สูงกว่าไทยเกือบ 2 เท่า ชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น กินเยอะขึ้น ใช้เยอะขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ค่าแรงถูกกว่าไทย 15-20% และค่าไฟถูกกว่าไทยถึง 35% รองรับอุตสาหกรรมไฮเทค ฯลฯ

ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้เวียดนามมีฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่ที่พร้อมผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง นั่นจึงทำให้ GDP เวียดนามในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 มีมูลค่ากว่า 3.27 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และขยายตัวถึง 8% โดยตั้งเป้าเติบโต GDP กว่า 10% ภายในปี 2573 ในขณะที่ไตรมาส 3 ปี 2568 ของไทย เติบโตเพียง 1.2% ชะลอตัวลงจากไตรมาสที่ 2 รั้งท้ายในกลุ่มอาเซียน

SCG รุกตลาดเวียดนาม ปักหมุดบ้านหลังที่ 2 เมืองใหม่โตเร็ว เร่งขยายปูนคาร์บอนต่ำสู่ตลาดโลก เท่านั้นยังไม่พอ เวียดนามยังเป็นประตูสู่ตลาดโลก เปิดประเทศให้เหล่านักลงทุนจากทั่วทุกสารทิศ ผ่านข้อตกลงการค้าเสรีกว่า 60 ฉบับ ทำให้การส่งออกคิดเป็น 85% ของ GDP ในปี 2567 และด้วยการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ที่ทำสถิติสูงถึง 38.2 พันล้านดอลาร์สหรัฐ ประเทศนี้ จึงกลายเป็นจุดหมายที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามอง รวมถึงนักลงทุนจากไทยด้วย

โดยเมื่อประชากรเพิ่มมากขึ้น โครงสร้างพื้นฐานของเวียดนามจึงต้องขยายตัว ไม่ว่าจะเป็นถนน สะพาน และโครงการที่อยู่อาศัย นั่นจึงนำไปสู่การเติบโตของผลิตภัณฑ์ก่อสร้างอย่างมหาศาล และนี่คือโอกาสทองที่ 'SCG' ยักษ์ใหญ่จากไทยมองเห็นและไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือ โดย SCG ได้รุกคืบเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการวางรากฐานเมืองใหม่ของเวียดนามมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแผนการรุกตลาดหลังจากนี้ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน

SCG รุกตลาดเวียดนาม ฐานการผลิตเพื่อส่งออกสู่ตลาดโลก

SCG ได้นำข้อได้เปรียบจากการมีฐานการผลิตหลากหลายในอาเซียน ได้แก่ ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา ลาว และเมียนมา บริหารธุรกิจแบบูรณาการทั่วภูมิภาค (Regional Optimization) เพื่อใช้ทรัพยากรและขัดความสามารถของแต่ละประเทศให้แข่งขันได้ และเกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งในด้านต้นทุน ประสิทธิภาพ และความยั่งยืน

SCG รุกตลาดเวียดนาม ปักหมุดบ้านหลังที่ 2 เมืองใหม่โตเร็ว เร่งขยายปูนคาร์บอนต่ำสู่ตลาดโลก สำหรับเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศหลัก (Strategic Country) ของ SCG ปัจจุบันมีการลงืทุนกว่า 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสินทรัพย์รวม 28% ของสินทรัพย์รวมของ SCG มีบริษัทในเครือ 28 แห่ง และพนักงานกว่า 15,000 คน ช่วยเสริมแกร่งในหลากหลายอุตสาหกรรมในเวียดนาม อาทิ

  • Long Son Petrochemicals (LSP) คอมเพล็กซ์ปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม 
  • Binh Minh Plastics (BMP) ผู้ผลิตท่อพลาสติกพรีเมียมรายใหญ่ของเวียดนาม
  • SCG และ Song Gianh Cement โรงงานผลิตปูนซีเมนต์ของ SCG ในเวียดนามที่เน้นการผลิตปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ
  • SCG Cement-Building Meterials ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ซึ่งรวมถึง ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ หลังคา และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างอื่น ๆ ในเวียดนาม
  • Prime Group ผู้ผลิตชั้นนำในอุตสาหกรรมวัสดุตกแต่งพื้นผิว (กระเบื้อง)
  • Duy Tan Plastics ผู้ผลิตชั้นนำในอุตสาหกรรมพลาสติกที่ผลิตบรรจุภัณฑ์ที่สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน
  • Vina Kraft Paper (VKPC) ผู้ผลิตกระดาษและบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง
  • Starprint บริษัทพิมพ์ที่เชี่ยวชาญด้านบรรจุภัณฑ์
  • SCGJWD Logistics ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจร

ยิ่งเวียดนามคุมเข้มสินค้าที่ไม่กรีน ยิ่งเข้าทาง SCG

นอกจากนี้ ทุกวันนี้เวียดนามเริ่มให้ความสำคัญกับเทรนด์เรื่อง Green Building และการบรรลุเป้าหมาย Net Zero สินค้าต่าง ๆ ที่จะขายในเวียดนามเริ่มถูกคุมเข้มและตรวจสอบมากขึ้นว่าสินค้าของคุณเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ ด้วยมาตรการนี้เอง จึงสอดคล้องกับ SCG ที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจตามแนวทาง Inclusive Green Growth หรือ Green Business ที่ได้ประยุกต์ความเชี่ยวชาญจากไทยในการปรับปรุงกระบวนการผลิตและส่งเสริมเทคโนโลยีสีเขียว

ที่ผ่านมา นอกเหนือจากการลงทุนกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานหมุนเวียนในห่วงโซ่การผลิตแล้ว สิ่งที่ชูโรงและกำลังมาแรงอีกประการคือ ปูนคาร์บอนต่ำของเอสซีจี ที่กำลังได้รับความสนใจทั้งในเวียดนามและต่างประเทศ

SCG รุกตลาดเวียดนาม ปักหมุดบ้านหลังที่ 2 เมืองใหม่โตเร็ว เร่งขยายปูนคาร์บอนต่ำสู่ตลาดโลก นายวิเชษฐ์ ชูเชื้อ Country Director - Vietnam ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กล่าวว่า “เศรษฐกิจเวียดนามกำลังขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมและก่อสร้างที่เติบโตจากการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ส่งผลให้ความต้องการวัสดุก่อสร้างและปูนซีเมนต์ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะปูนคาร์บอนต่ำที่ขยายตัวตามนโยบายของรัฐ ทั้งนโยบาย Net Zero Emission ในปี 2593 และนโยบายเมืองสีเขียว ที่เขตเมืองใหม่อย่างน้อย 50% และเมืองทั่วประเทศ 10% ต้องผ่านเกณฑ์เมืองสีเขียวตามรัฐบาลกำหนดภายในปี 2593”

ซึ่งเอสซีจีซีเมนต์ เดินหน้ายกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้วัสดุทดแทนและวัสดุรีไซเคิล ลดการใช้ถ่านหินด้วยเชื้อเพลิงทดแทน เช่น Biomass และ Refuse Derived Fuel (RDF) และระบบ Waste Heat Recovery (WHR) ที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และได้รับการยอมรับผ่านมาตรฐานระดับสากล เช่น Singapore Green Building Product (SGBC) และ International EPD System (EPD)

SCG รุกตลาดเวียดนาม ปักหมุดบ้านหลังที่ 2 เมืองใหม่โตเร็ว เร่งขยายปูนคาร์บอนต่ำสู่ตลาดโลก ซึ่งไม่เพียงแค่ปูนคาร์บอนต่ำเท่านั้นที่ชูโรง กระเบื้อง ก็เป็นอีกสินค้ายอดฮิตที่คนเวียดนามให้ความสนใจ และสำคัญพอๆกับปูนซีเมนต์ PRIME Group JSC (PRIME) บริษัทในเครือ SCG Decor Public Company Limited (SCGD) ที่เอสซีจีเข้าถือหุ้นเต็มจำนวนตั้งแต่ปี 2555 เป็นผู้นำตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิวอันดับหนึ่งของเวียดนาม เป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญที่ช่วยให้เอสซีจีเวียดนามประสบความสำเร็จ

โดยเน้นไปที่การลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และเสริมความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงการพัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่ม (HVA) ซึ่งนำเสนอฟังก์ชันด้านสุขภาพและคตวามปลอดภัย ทำให้มียอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะยอดขายของกระเบื้อง Glazed Porcelain (GP) ที่เป็นที่นิยมสำหรับบ้านสมัยใหม่ สไตล์โมเดิร์น ของคนรุ่นใหม่ในเวียดนาม

SCG รุกตลาดเวียดนาม ปักหมุดบ้านหลังที่ 2 เมืองใหม่โตเร็ว เร่งขยายปูนคาร์บอนต่ำสู่ตลาดโลก ซึ่ง PRIME สามารถรองรับความต้องการตลาดตรงนี้ได้ โดยในปี 2568 มีกำลังการผลิต GP 19 ล้านตารางเมตร (25% ของกำลังการผลิตทั้งหมด) และตั้งเป้าจะเพิ่มกำลังผลิตเพิ่มขึ้นถึง 45 ล้านตารางเมตร (50% ของกำลังการผลิตทั้งหมด) และด้วยความได้เปรียบทั้งในการรักษาต้นทุนและคุณภาพสิน้า ทำให้เวียดนามกลายเป็นฐานการผลิตและส่งออกหลักของ SCGD พร้อมให้ความสำคัญด้าน ESG ตลอดกระบวนการอย่างเป็นรูปธรรมในทุกมิติ

related