svasdssvasds

รู้ทันสัญญาณของอาการหมดไฟ

รู้ทันสัญญาณของอาการหมดไฟ

ติดตามข่าวสารwได้ที่ https://www.springnews.co.th

ไม่ว่าจะเก่งและแกร่งแค่ไหน และแม้ว่าจะสนุกกับงานเพียงใด แต่การลุยงานอย่างหามรุ่งหามค่ำ หรือการทำงานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ทำให้เกิดอาการ Burn-out หรือที่เรียกว่าอาการหมดไฟได้เช่นกัน เนื่องจากอาการ Burn-out นี้มักเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เราจึงควรหัดสังเกตสัญญาณเหล่านี้ไว้ให้ดี หากเริ่มเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จะได้แก้ไขได้ทันท่วงที

คุณรู้สึกเหนื่อยล้าหมดเรี่ยวหมดแรง

คุณเหนื่อยมากจนแทบจะขยับตัวไม่ไหวหรือเปล่า คุณต้องแซะร่างของตัวเองลงจากเตียงเพื่อลุกไปทำงานในตอนเช้าหรือไม่ คุณทำงาน 8 ชั่วโมงก็จริง แต่รู้สึกเหมือนทำวันละ 80 ชั่วโมงไหม อาการ Burn-out เป็นความเครียดที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน มีลักษณะเฉพาะ 3 ข้อ ข้อแรกคือความรู้สึกอ่อนล้าหมดเรี่ยวหมดแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ

คุณกลายเป็นคนช่างค่อนแคะ

ข้อที่สองคือการช่างค่อนแคะและวิพากษ์วิจารณ์ พูดง่ายๆว่าอยู่ๆก็กลายเป็นคนช่างจิกซะอย่างนั้น การขาดความสนใจในงานนำไปสู่ทัศนคติเชิงลบ หรือแม้แต่กลายเป็นคนใจจืดใจดำ ส่วนใหญ่แล้ว การเหนื่อยล้าหมดเรี่ยวหมดแรงมักเป็นสาเหตุสำคัญของการช่างจิกนี้

คุณรู้สึกไร้ค่า

ข้อที่สามคือความรู้สึกไร้ความสามารถ เป็นความรู้สึกของการไร้ประสิทธิภาพและนำไปสู่การไม่สามารถทำงานให้บรรลุเป้าหมายและไร้ผลผลิตในการทำงาน  ในบางครั้ง ความรู้สึกไร้ค่าเป็นผลมาจากสองข้อแรก หลายครั้งที่เจ้าลักษณะเฉพาะทั้งสามข้อนี้ถาโถมใส่คุณพร้อมๆกัน

คุณรู้สึกซึมเศร้า

ถ้าคุณอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรง ช่างค่อนแคะ และรู้สึกไร้ค่า ก็ไม่แปลกหรอกที่ความรู้สึกซึมเศร้าและหดหู่จะตามมา

ผลการวิจัยระบุว่าส่วนใหญ่แล้ว อาการ Burn-out เป็นเรื่องของการทำงาน ในขณะที่ความรู้สึกซึมเศร้าเป็นเรื่องของชีวิตทั้งชีวิต ที่มีงานของคุณพ่วงเข้าไปด้วย แต่ทั้งสองเรื่องนี้มีความเชื่อมโยงกัน การศึกษาพบว่าถ้าคุณมีแนวโน้มที่จะซึมเศร้า คุณจะมีความอ่อนไหวต่ออาการ Burn-out ได้ง่ายด้วยเช่นกัน

คุณไม่ชอบงานของคุณ

งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าความไม่พอใจในงานที่ทำ เป็นผลข้างเคียงหนึ่งในหลายข้อของอาการ Burn-out (ผลข้างเคียงอื่นๆก็เช่น การขาดงาน และการเจ็บป่วยทางร่างกายอื่นๆอีกมากมาย)

คุณรู้สึกอ่อนไหวไปซะทุกเรื่อง

ถ้าคุณเครียดกับงานมากจนเกินไป หรือคุณรู้สึกรำคาญเพื่อนร่วมงาน (หรือแย่กว่านั้น คือรำคาญลูกค้าของตัวเอง) คุณอาจจะกำลังมีอาการ Burn-out อยู่ก็ได้ สัญญาณของอาการ Burn-out ในงานอีกข้อหนึ่งคือ การแสดงความโกรธออกมาอย่างโจ่งแจ้ง

คุณใจลอยบ่อยๆ

หนึ่งในสัญญาณด้านจิตใจที่เป็นตัวบอกว่าคุณอาจจะมีอาการ Burn-out อยู่ คือการไม่มีสมาธิในการทำงาน รวมไปถึงการกลายเป็นคนขี้ลืมบ่อยๆ งานวิจัยบางชิ้นระบุว่ามีสัญญาณลักษณะเดียวกันนี้มากกว่า 100 สัญญาณให้คุณได้สังเกตตัวเอง

คุณนอนหลับยาก

งานวิจัยบางชิ้นระบุว่า การหลับยากรวมถึงการนอนไม่ยอมตื่นมีความเชื่อมโยงกับอาการ Burn-out (แต่ก็มีงานวิจัยอื่นที่ยังไม่สามารถหาความเชื่อมโยงที่ชัดเจนได้) อย่าเพิกเฉยกับปัญหาเรื่องการนอน เพราะปัญหานี้อาจนำไปสู่การเกิดโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง อาการหัวใจล้มเหลว เบาหวานและโรคไต

คุณปวดหัวอีกแล้วหรือ

นักจิตวิทยาชื่อ Herbert Freudenberger ซึ่งเป็นผู้ที่วางแนวความคิดของอาการ Burn-out ไว้ในปีค.ศ. 1974 ระบุว่าอาการปวดหัวบ่อยๆเป็นลักษณะทางกายภาพของอาการ Burn-out แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปวิทยาศาสตร์เสียทีเดียวนัก

คุณปวดท้อง

การปวดท้องเกิดจากอาการ Burn-out ได้ด้วยเช่นกัน การปวดท้องและความเครียดจะเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิต้านทานของคุณอ่อนแอลง ซึ่งนั่นอาจจะเป็นคำอธิบายปัญหาการปวดท้องของคุณ

การใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาเสพติด และสิ่งคลายอารมณ์อื่นๆ

การใช้อาหาร เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือยาเสพติดเพื่อให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น อาจเป็นสัญญาณของอาการ Burn-out ในการทำงาน เรื่องนี้อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นได้ โรคอ้วนผิดปกติหรือการใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาอย่างไม่ถูกต้องสามารถนำไปสู่ปัญหาด้านสุขภาพได้อีกมากมาย

อาการ Burn-out และความดันโลหิต

ถ้าคุณมีอาการความดันโลหิตสูง และมีอัตราการเต้นของหัวใจเร็วผิดปกติ เป็นไปได้ว่าอาจมีสาเหตุจากงานของคุณ อาการทั้งสองอย่างนี้ไม่ดีกับร่างกายของคุณ เพราะไม่เพียงแต่เป็นอันตรายต่อหัวใจ แต่ยังมีผลต่อสมองและไตของคุณอีกด้วย

คุณกระหายน้ำและมองเห็นภาพเบลอหรือไม่

การกระหายน้ำมากผิดปกติและการมองเห็นภาพเบลอเป็นสัญญาณของโรคเบาหวาน อาการ Burn-out อาจทำให้คุณมีโอกาสเป็นเบาหวานประเภทที่ 2 เพิ่มมากขึ้น ถ้าคุณมีสัญญาณเหล่านี้หรือสัญญาณอื่นๆของโรคเบาหวาน และถ้าหากคุณมีปัญหาที่ทำงานซึ่งอาจเชื่อมโยงไปสู่อาการ Burn-out ก็อาจสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่าสองปัจจัยนี้มีความเชื่อมโยงกัน

วันลาป่วยของคุณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

งานวิจัยพบว่าอาการ Burn-out เป็นสาเหตุของทั้งการลาป่วยและการเจ็บป่วยในขณะมาทำงาน แต่ในทางกลับกัน การที่วันลาป่วยของคุณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และการที่คุณป่วยในที่ขณะที่กำลังทำงานอยู่ ก็นำไปสู่อาการ Burn-out ได้เช่นกัน

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เราจะพบว่าสัญญาณของอาการ Burn-out ดูเหมือนจะเริ่มที่อาการเล็กๆน้อยๆ ซึ่งหากเราไม่สังเกตให้ดี ก็จะไม่รู้ว่าสัญญาณเหล่านี้ได้เกิดขึ้นแล้ว มารู้อีกทีเมื่ออาการ Burn-out รุนแรงเสียแล้ว ดังนั้น เราจึงควรหมั่นสังเกตตัวเอง และปรับเปลี่ยนแก้ไขเพื่อให้สัญญาณเหล่านี้ไม่ลุกลามกลายเป็นปัญหาใหญ่ต่อไป