SHORT CUT
Echo Chamber ห้องแห่งเสียงสะท้อน ที่ขังเราไว้กับความโง่เขลา เพราะเชื่อว่าความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว ผิดจากนี้ไม่ได้
คำว่า Echo chamber เดิมแล้วเป็นศัพท์ในทางดนตรี ที่หมายถึงห้องโล่ง ๆ ที่ใช้สำหรับบันทึกเสียงร้องหรือดนตรี ที่ต้องการคุณสมบัติเสียงที่ก้องกังวาน หรือเสียงสะท้อน แต่ปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้สามารถสร้างซาวด์เอฟเฟกต์เสียงสะท้อนได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาห้องอีกต่อไป
แต่พอมายุคนี้ อันเป็นยุครุ่งเรื่องของโซเชียลมีเดีย ตื่นเช้า เรียนหนังสือ พักเที่ยง กินข้าวเย็น ก่อนนอน ทุกคนก็ต้องจับมือถือ แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีใครหนีมันพ้น ทีนี้ คำว่า Echo chamber จากเดิมที่หมายถึงห้องแห่งเสียงสะท้อนในเชิงดนตรี ความหมายก็แปรเปลี่ยนไป
ในบริบทโลกเสมือน หรือการเล่นมือถือ โซเชียลมีเดีน Echo chamber ถูกใช้อธิบายถึงปรากฏการณ์ที่กลุ่มคนอยู่ในพื้นที่ที่จบแต่ความเห็นแบบเดียวกัน พูดจาแบบเดียวกัน คิดแบบเดียวกัน รักสิ่งเดียวกัน และเกลียดชังสิ่งเดียวกัน ก็จะทำให้เราติดอยู่ในห้องแห่งเสียงสะท้อนนี้ได้โดยง่าย
และเมื่อมนุษย์สายพันธุ์นี้ โดยมากแล้วเลือกที่จะเชื่อข้อมูล หรือหลักฐานที่สนับสนุนแนวคิดหรือสิ่งที่ตนเองเชื่อ ก็ยิ่งทำให้เราตกอยู่ใน Echo chamber หรือถูกกะลาครอบไว้อย่างไม่รู้ตัว ศัพท์ฝรั่งอธิบายปรากฏการณ์ย่อยนี้ว่า Confirmation Bias หรือความลำเอียงเพื่อยืนยันในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ
ทีนี้ เมื่อคุณเลือกเสพแต่คอนเทนท์แบบใดแบบหนึ่งใช้เวลาอยู่กับคลิป เลื่อนดูรูปของบุคคลนั้น ๆ มากเป็นพิเศษ ระบบอัลกอริทึมมันก็จะฟีดสิ่งเหล่านี้มาให้คุณอย่างไม่ขาดสาย เช่น ถ้าคุณไปกดรูปโป๊ กัน จอมพลัง ฯลณ อัลกอริทึมก็จะแสดงผลเนื้อหาเหล่านั้นขึ้นมาบนหน้าฟีดของคุณ
แม้ปรากฏการณ์ห้องแห่งเสียงสะท้อนจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งในโลกเสมือน รวมถึงโลกจริงที่เราอาศัยอยู่ แต่งานหลายชิ้นบอกว่าห้องแห่งเสียงสะท้อนมีภาวะที่ชัดเจนที่สุดคือโซเชียลมีเดีย มีอะไรบ้างล่ะ เช่น Facebook Instagram Line เป็นต้น ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของสิ่งที่เรียกว่าอัลกอริทึมแทบทั้งสิ้น
สมมติว่าคุณเสพแต่ข่าวกัน จอมพลัง ฮีโร่ชายแดนที่กำลังมีประเด็นร้อนทุกวัน เดี๋ยวปล่อยเสียงผีให้ชาวกัมพูชาฟัง การขนร่ายเทอึไป อัลกอริทึมมันอาจไม่สามารถถามถึงความคิดเห็นเบื้องหลังได้ แต่มันจะเดาไปก่อนเลยว่าคุณกำลังสนใจสิ่งนี้อยู่ จึงฟีดภาพ คลิป และบทความเหล่านี้มาให้เราดูได้เรื่อย ๆ
นั่นแปลว่าข้อมูลที่เราได้เสพในแต่ละวัน หรือแต่ละชั่วโมง ก็ล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลเนื้อหาที่ถูกคัดกรองมาแล้ว พูดง่าย ๆ คือมันจะโชว์แต่ในสิ่งที่เราอยากเห็น เช่น มุมลับ มุมมืด หรือไม่ก็มุมส่วนตัวของศิลปินดารา ฯลฯ ขั้นตอนนี้แหละ ที่ระบบมันจะสแกนไว้ว่าบุคคลใดมีแนวคิดเดียวกัน ไปด้วยกันได้ และพร้อมจะเชื่อทุกสิ่งที่ผู้นั้นพูด ไม่มีตรวจสอบ ไม่มีวันสอบ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องอันตรายมาก เมื่อเราเชื่อใครโดยชล่าใจ ไม่ไตร่ตรองข้อมูลจากคนอื่น แหล่งอื่นให้รอบด้าน ยิ่งกรณีของคุณอังคณา นีละไพจิตร ยิ่งเห็นได้ชัด
เมื่อมีการพูดถึงคุณอังคณาในรายการ แขกรับเชิญทั้งสองท่านกลับมีปฏิกิริยาที่แปลกไป ทั้งยังพูดอีกว่าคุณอังคณาดังได้เพราาะตามหาศพผัว รวมถึงกรณีที่หนุ่ม กรรชัย พิธีกรของโหนกระแส ที่นำเสนอความเพียงแค่ฝั่งคุณกัน จอมพลังเท่านั้น โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ชี้แจง (ภายหลังบอกว่ารับโทรศัพท์ และคุยกับคุณอังคณาแล้ว)
ผลที่ตามมาคืออะไร? พิธีกรโหนกระแสในวันนี้ (16 ตุลาคม 2568) พร้อมทั้งยอมรับว่าการจัดรายการคราวก่อน เป็นการเลือกฟังความฝ่ายเดียวจริง ๆ แม้มีการขอโทษขอโพยแล้ว แต่ความทรงอิทธิพลที่มีอยู่ของพิธีกรได้ชักนำผู้ติดตามจำนวนมากให้เห็นคล้อยตามไปทางเดียวกัน ไม่เปิดรับความเห็น มุมมองอื่น ๆ ทำให้เกิด Echo chamber ขึ้นมา
พิรงรอง รามสูต ได้กล่าวถึงปรากฏการณ์ Echo chambe เอาไว้ได้น่าสนใจ โดยระบุว่า “Echo Chamber ในสังคมไทยไว้ว่า การใช้สื่อสมัยใหม่อย่างเฟซบุ๊ก ของผู้คนในสังคมที่แตกแยกอย่างรุ่นแรง ก็อาจจะเป็นช่องทางในการเลือกรับเฉพาะข้อมูลที่เป็นบุคคลแต่ละคนนั้นๆ ต้องการที่จะได้ยิน ฟัง ในส่วนของความคิดเห็นที่ไม่ต้องการนั้นก็จะถูกปิดตาย เช่น การอันเฟรนด์คนที่มีความคิดเห็นต่าง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผลพวงที่ตามมาคือข้อมูลด้านเดียว มุมเดียวที่เรามีอยู่ในมือก็ได้ตอกย้ำโลกทัศน์เดิมของเราให้แคบลงไปอีก แทนที่จะเปิดรับชุดข้อมูลที่แตกต่าง เพื่อสร้างความเข้าใจ นานเข้าก็กลายเป็นเสียงสะท้อนที่มีแต่พวกเราเท่านั้น ที่พูดกันเอง ได้ยินกันเอง และเชื่อกันเองว่าสิ่งที่พวกเราเชื่อคือความถูกต้องเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น