“ปอร์โต้ โปรตุเกส” รอบนี้เฟรมขอพาไปปักหมุดจุดถ่ายรูป และไขข้อข้องใจต้นกำเนิด“แฮรี่ พอตเตอร์” อยู่ที่นี่จริงไหม คำตอบอยู่ในนี้แล้ว ถ้าพร้อมแล้วออกเดินทางกันเลย
เมืองท่าของโปรตุเกส ถ้าถามเฟรมว่านึกถึงอะไรเป็นดับแรก คงจะตอบแบบไม่อ้อมค้อมว่า “พอร์ต ไวน์” ตามสไตล์คนลั้ลลา แต่พอได้มาแล้วกลับโดนมนต์สะกดของเมืองมรดกโลก คงเสียดายถ้ามาถึง “โปรตุเกส” แล้วไม่ได้แวะ “ปอร์โต้”
สำหรับการเดินทางมาโปรตุเกสสำหรับเฟรมในครั้งนี้ยอมรับว่าเหนื่อยพอสมควรเลยหละ เพราะเฟรมเลือกบินมากับ “การบินไทย” ที่ไม่มีบินตรงมายังเมือง “ปอร์โต้” เฟรมจึงต้องบินไปลงที่ “มิวนิค” แล้วนั่งเครื่องอีก 3 ชั่วโมง นับคร่าวๆแล้ว เสียเวลาไป 24 ชั่วโมงกว่าจะมาถึง
เฟรมแพลนอยู่เมืองนี้แค่ 2 วัน 1 คืน ถือว่าน้อยมากๆเพราะฉะนั้นไม่รอช้า เฟรมขอพาไปปักหมุดจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เริ่มเลย !
พอถึงแล้วเราไม่รอช้ารีบพุ่งไปที่สัญลักษณ์ของเมืองนี้ ก็คือ สะพาน เพราะ เมืองปอร์โต้จะมีแม่น้ำ Dour ไหลผ่านกลางเมืองจึงมีท่าเรือเยอะ และตั้งใจให้เมืองนี้เป็นเมืองท่า และชื่อเมือง "Porto" ก็มาจากคำว่า "Port of Douro"
Ponte Luis I คือสะพานที่ขึ้นชื่อที่สุดที่ทุกคนต้องมา เพราะหน้าตาโครงสร้างคล้ายกับ “หอไอเฟล” กลางกรุงปารีส เนื่องจากสถาปนิคเป็นคนเดียวกันนั่นก็คือ Gustave Eiffel ซึ่งไม่ต้องบอกก็นึกออกจริงๆเพราะความโค้งของเหล็กและแบบแผนคือ ฐานของหอไอเฟลเราจำได้แม่น
และรอบๆสะพานนี้เป็นทางเดินทอดยาวริมน้ำที่เราสามารถเดินทอดอารมณ์ได้อย่างผ่อนคลาย ด้านนึงเป็นแม่น้ำประจำเมือง ส่วนอีกด้านก็เป็นตึกที่เก่าแก่ล้วนมีอดีตที่ปัจจุบัน บ้างก็เปิดเป็นร้านอาหาร คาเฟ่ ให้เราได้นั่งพักเหนื่อยจากการเดินทางได้ดีทีเดียว
Sé do Porto อาสนวิหารและอนุสรณ์สถานที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง มาถึงแล้วก็ต้องแวะและแนะนำให้เข้าไปชมด้านในด้วยนะคะ (5 EUR ) เป็นอาสนวิหารคริสต์โรมันคาทอลิกเก่าแก่ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาด้านหน้าสามารถมองเห็นวิวของเมืองด้วย แต่ด้านในก็คืออลังการทั้งศิลปะที่ทำจากทองคำ รวมถึงกระเบื้อง Azulejo สีฟ้าสด ที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองอยู่ด้วย
ใกล้กันสามารถเดินต่อลงมาจากเนินเขาได้เลยก็คือ “สถานีรถไฟ Sao Bento” ที่ถึงแม้เราจะใช้การโดยสารประเภทอื่น ก็ยังต้องมาแวะเพราะที่นี่เป็นอีกที่ ที่มี Azulejo สมบูรณ์ทั้งแบบดั้งเดิมที่เป็นสีฟ้า และแบบประยุกต์ที่มีหลากสีสัน โดยปัจจุบันสถานีนี้ก็ยังเปิดใช้งานตามปกติ
Igreja dos clérigo อีกหนึ่งจุดถ่ายรูปที่หลายคนอาจคุ้นตา เพราะที่นี่คือต้นแบบของ “โบสถ์ Saint Paul” ที่มาเก๊านั่นเอง (มาเก๊ามีหลายอย่างที่ได้รับอิทธิพลจากโปคุเกส เพราะเคยเป็นเมืองขึ้น) และตรงตรอกนี้ก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ถ่ายรูปสวยมากๆ จะเห็นรถแทมวิ่งอยู่ในซอกตึก สวยมากๆ (ตอนเฟรมมาปิดซ่อมถนน เสียดายมากๆ)
ใกล้กันอยากชวนทุกคนเดินมาอีกหนึ่งที่ นั่นก็คือ โบสถ์ Igreja do Carmo เป็นอีกหนึ่งจุดที่เราจะสามารถยืนดูกระเบื้อง Azulejo ได้เต็มตาซึ่งจะเป็นเรื่องราวของเมืองนี้ในอดีต และอยากจวนทุกคนเดินมาด้านหน้าเราจะสังเกตเห็นว่า โบสถ์นี้เหมือนแยกเป็น 2 ฝั่ง และ มีประตูเล็กๆกั้นตรงกลาง เพราะสมัยก่อน โบสถ์ที่นี่จะแยกหญิงและชาย จึงจะมีเหมือนบ้านเล็กๆกั้นอยู่เพื่อแบ่งตรงกลาง เลยมีการพูดต่อกันมาว่า ตรงนี้เคยเป็นบ้านคนที่แคปที่สุดด้วย เพราะมันเล็กมากและมีหน้าที่แค่กั้นโบสถ์ทั้ง 2 แค่นั้นเอง
มาถึงตรงนี้ สาวก “แฮรี่ พอตเตอร์” ต้องไม่พลาด เพราที่เมืองนี้มีจุดสำคัญที่เกี่ยวกับ “แฮรี่ พอตเตอร์” ซ่อนอยู่
Majestic Café ที่นี่มีคำบอกเล่าต่อๆกันมาซึ่งเฟรมก็อ่านเจอเหมือนกันว่าที่นี่ คือจุดเริ่มต้นของ “แฮรี่ พอตเตอร์” แบบว่า “jk rowling” จรดปากกน้ำหมึกหยดแรกของ“แฮรี่ พอตเตอร์”ที่คาเฟ่แห่งนี้ แต่แล้วก็ดับฝันมากเพราะ “jk rowling” เคยเฉลยในทวิตเตอร์ไว้ว่า “ที่จริงแล้วร้านนี้เธอเคยมานั่งเขียนหนังสืออยู่บ้างเป็นครั้งคราว และที่นี่ก็เป็นคาเฟ่ที่สวยดี” นั่นก็แปลว่าเธอไม่ได้ยอมรับซะทีเดียวว่าเธอเริ่มจรดปากกาที่นี่
แต่เอาหนะ อย่างน้อยเธอก็เคยมาและบอกว่ามันสวยมากๆ ซึ่งบรรยากาศของร้านก็สวยมากจริง ตามข้อมูลของร้านที่แท้จริงก็มีความสำคัญอยู่ เพราะในอดีตที่ Majestic Cafe คือ คาเฟ่สำหรับกลุ่มชนชั้นสูงชาวโปรตุเกสที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 1921 และในปัจจุบันก็ยังคงสไตล์ หรูหราอลังการเหมือนเดิม ส่วนเรื่องของกินที่นี่ก็มีครบ ทั้งอาหารคาวและหวาน ถึงจะดับฝันเรื่อง “แฮรี่ พอตเตอร์” แต่เฟรมก็ยังอยากชวนทุกคนมาอยู่ดี
livraria lello คือร้านหนังสือที่หลายคนเข้าใจว่า นี่คือแรงบันดาลใจที่เขียนให้ร้านนี้คือร้านหนังสือที่ขายให้กับพ่อมดแม่มดใน “ฮอกวอตส์” และสำหรับที่นี่ ดับฝันสาวกบ้านเวตมนต์ยิ่งกว่า เพราะ “jk rowling” ก็ปฏิเสธชัดเจนว่า “ฉันไม่เคยไปร้านหนังสือที่นี่ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามี และแน่นอนว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับฮอกวอตส์” โอ้ววววว แสดงว่านั้นแค่เสียงลือ เสียงเล่าอ้างสินะ แต่ไม่เป็นไรเราขอปลอบใจทุกคนที่เคยไปมา เพราะอย่างน้อย ร้านหนังสือแห่งนี้ได้รับการโหวตว่าเป็นร้านหนังสือสวยที่สุดในโลก ซึ่งร้านนี้ปิดมาตั้งแต่ปี 1906 และก็ยังคงความงดงามอยู่เช่นนั้นโดยเฉพาะบันใดกลางร้านที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งมันก็คล้ายกับโลกพ่อมดจริงๆ คงไม่แปลกที่คนจะเข้าใจแบบนั้น ร้านหนังสือแห่งนี้คิวยาวตลอดทุกวัน และเสียค่าเข้าชมด้วยนะคะ (สามารถเอาตั๋วค่าเข้าไปลดค่าหนังสือได้) แต่เสียดายที่เฟรมก็ไม่ได้มีโอกาสเข้าไปเพราะคิวยาวมากจริงๆ แต่ก็พอยืนดูความสวยงามจากด้านหน้า และสัมผัสได้ถึงความดั้งเดิมแบบสุดๆ
สำหรับคนที่อยากจะตามรอยเฟรม ขอแนะนำโรงแรมที่เฟรมพักในครั้งนี้ ชื่อว่า Eurostar aliados เป็นโรงแรม 4 ดาว ที่อยู่ในทำเลที่ดีมากๆ ตรงกลาง TOWN HALL สามารถเดินเล่นได้รอบเมือง
7 สถานที่ สำหรับ 2 วันหนึ่งคืน เฟรมว่าไม่เพียงพอสำหรับเมืองนี้ แต่ก็พอที่จะทำให้เราหลงรักเมืองท่าที่มีกระเบื้องสีฟ้าอยู่เต็มเมืองได้ไม่ยาก
แต่ทริปนี้ยังไม่จบนะคะ เพราะเราจะไปกันต่อที่ เมืองลิสบอน เมืองหลวงที่เป็นต้นกำเนิดของทาร์ตไข่ และฝอยทอง ลองดูว่าจะถูกปากคนไทยที่ได้รับอิทธิพลมาหรือไม่ รออ่านกันด้วยนะคะ
ทุกคนสามารถติดตามการเดินทางครั้งต่อไปของเฟรมได้ที่นี่ Lifestyle Spring หรือทักทายกันได้ที่ IG:famframe
“พิธีกรที่หลงรักการเดินทาง เพื่อพบเจอ พูดคุย และได้ใช้กล้องที่รักเวลาออกทริป” by famframe