ถอดรหัส จิตวิทยาสี ในภาพยนตร์และซีรีส์ ต่างๆ มีผลกระทบต่ออารมณ์ รวมถึงความรู้สึกของคนดูอย่างไรบ้าง ภาษาที่ไม่ต้องใช้เสียงพูด แต่สื่ออารมณ์แบบมาเต็ม!
ลองนึกถึงภาพเด็กหญิงในเสื้อโค้ทสีแดงสดท่ามกลางโลกสีเทาอันโหดร้ายของค่ายกักกันใน Schindler's List หรือโลกดิจิทัลที่อาบไปด้วยแสงสีเขียวอันเย็นชาใน The Matrix ภาพเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการตัดสินใจทางสุนทรียศาสตร์ แต่มันคือการใช้ภาษาที่ทรงพลังที่สุดภาษาหนึ่งในโลกภาพยนตร์ นั่นคือ "ภาษาแห่งสี"
และในช่วงเวลานี้ ที่หนังไทยใน Netflix กำลังเป็นกระแส เรื่องประเด็นด้านภาพ Visual ที่มีการ "เล่น" สีสันที่จัดจ้าน ทะลวงตา อันเป็นเอกลักษณ์ของ วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง ในภาพยนตร์ เขาชุมทอง คะนองชุมโจร
เป็นเวลากว่าร้อยปีที่ผู้สร้างภาพยนตร์ได้เรียนรู้ที่จะเป็นนายเหนือจิตใจของเรา ไม่ใช่ด้วยบทสนทนาที่เฉียบคมหรือการแสดงที่ลึกซึ้งเพียงอย่างเดียว แต่ผ่านการใช้สีอย่างมีกลยุทธ์เพื่อกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกในระดับจิตใต้สำนึก มันคือศาสตร์และศิลป์ที่เรียกว่า "จิตวิทยาสี" ซึ่งทำหน้าที่เป็นเครื่องมือชี้นำทางอารมณ์ บอกเล่าเรื่องราวที่ไม่ได้ถูกเอ่ย และสร้างมิติให้กับตัวละครได้อย่างน่าทึ่ง
ในแก่นแท้ของมัน จิตวิทยาสีในภาพยนตร์คือการสร้างบทสนทนาที่เงียบงันระหว่างผู้กำกับและผู้ชม สีแต่ละเฉดทำหน้าที่เป็น "คำ" ที่มีความหมายทั้งในด้านบวกและลบ สร้างความซับซ้อนและชั้นเชิงให้กับการเล่าเรื่อง
ผู้สร้างภาพยนตร์ไม่ได้เพียงแค่เลือกสีที่ "ดูสวยงาม" แต่พวกเขากำลังสร้าง "จานสีทางอารมณ์" (Emotional Palette) เพื่อกำหนดบรรยากาศทั้งหมดของเรื่องราว ลองพิจารณาถึงความหมายที่หลากหลายในสีเดียวกัน:
สีแดง: คือสีแห่งความสุดขั้ว มันอาจเป็นความรักอันเร่าร้อนในฉากโรแมนติก หรือเป็นสัญญาณแห่งอันตรายและความรุนแรงที่คืบคลานเข้ามา
สีน้ำเงิน: สามารถสื่อถึงความสงบเยือกเย็น ความน่าเชื่อถือ หรือในทางกลับกัน มันคือความเศร้าที่จับใจและความโดดเดี่ยวที่เยียบเย็น
สีเขียว: มักเป็นตัวแทนของธรรมชาติ การเติบโต และชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน มันก็สามารถเป็นสัญลักษณ์ของความริษยา ความเจ็บป่วย หรือสิ่งที่ผิดธรรมชาติได้เช่นกัน ดังที่เห็นในโลกเสมือนของ The Matrix
สีเหลือง: คือความสุข ความหวัง และความคิดสร้างสรรค์ แต่ในเฉดที่หม่นลง มันอาจหมายถึงการทรยศ ความขี้ขลาด หรือความเสื่อมโทรม
การเลือกใช้สีเหล่านี้จึงเปรียบเสมือนการบรรเลงซิมโฟนีแห่งอารมณ์ ที่ซึ่งเฉดสีต่างๆ ถูกนำมาผสมผสานเพื่อสร้างประสบการณ์ที่สมบูรณ์และลึกซึ้ง
การประยุกต์ใช้ทฤษฎีสีอย่างชาญฉลาดสามารถยกระดับภาพยนตร์จากความบันเทิงธรรมดาให้กลายเป็นงานศิลปะที่ตราตรึงในความทรงจำ ตัวอย่างที่โดดเด่นมากมายได้พิสูจน์ถึงพลังของมัน:
ใน Mad Max: Fury Road (2015) ผู้กำกับ จอร์จ มิลเลอร์ ใช้คู่สีตรงข้ามอย่างสีส้มอันร้อนระอุของทะเลทรายและสีน้ำเงินเข้มของยามค่ำคืน เพื่อสร้างคอนทราสต์ที่รุนแรงและขับเน้นความตึงเครียดของการไล่ล่าที่ไม่สิ้นสุด
ซีรีส์อย่าง Breaking Bad (2008-2013) ได้แสดงให้เห็นถึงการใช้สีเพื่อสะท้อนการเดินทางของตัวละครได้อย่างยอดเยี่ยม เสื้อผ้าของ วอลเตอร์ ไวท์ ที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากโทนสีเบจและสีอ่อน ไปสู่สีเข้มและสีดำสนิท คือภาพสะท้อนการเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจของเขา จากครูสอนเคมีผู้สุภาพสู่เจ้าพ่อยาเสพติดที่อำมหิต
ขณะที่ใน Amélie (2001) โลกทั้งใบถูกอาบด้วยโทนสีอุ่นอย่างเขียว แดง และเหลือง เพื่อสร้างบรรยากาศราวกับเทพนิยายที่อบอวลไปด้วยความแปลกประหลาดและความสุข และในทางตรงกันข้าม Sin City (2005) เลือกใช้ภาพขาวดำที่ตัดกับสีใดสีหนึ่งอย่างรุนแรง เพื่อจำลองสุนทรียภาพแบบกราฟิกโนเวลและขับเน้นอารมณ์ดิบของเรื่องราว
บทบาทของทฤษฎีสีในงานภาพยนตร์และซีรีส์
ทฤษฎีสีมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดอารมณ์และเสริมการเล่าเรื่อง ตัวอย่างที่เห็นชัดเจน เช่น:
The Matrix (1999) – ใช้โทนเขียวเพื่อสื่อถึงโลกเสมือนและความเหนือจริง
The Great Gatsby (2013) – ใช้สีทองและเขียวสดเพื่อสะท้อนความฟุ่มเฟือย และสีหม่นเพื่อสื่อถึงความผิดหวังและความสิ้นหวัง
Breaking Bad (2008-2013) – การเปลี่ยนสีเสื้อผ้าของ Walter White จากโทนธรรมชาติไปสู่โทนเข้ม แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงตัวตนของเขา
Schindler's List (1993) – ใช้หนังขาวดำแต่เน้นเสื้อโค้ทสีแดงเพื่อสื่อถึงความเศร้าและการสูญเสีย
Amélie (2001) – ใช้โทนสีอบอุ่น เช่น เขียว แดง เหลือง เพื่อสร้างบรรยากาศแบบเทพนิยาย
Sin City (2005) – ขาวดำตัดกับสีเฉพาะจุดเพื่อสร้างอารมณ์แบบกราฟิกโนเวล
Mad Max: Fury Road (2015) – ใช้โทนส้มและน้ำเงินเพื่อสร้างบรรยากาศเร้าใจและตึงเครียด
The Handmaid’s Tale (2017-ปัจจุบัน) – ใช้สีแดงและขาวเพื่อสื่อถึงการกดขี่และการควบคุม
La La Land (2016) – สีสันสดใสเปลี่ยนไปตามอารมณ์ของฉากเพื่อขยายอารมณ์ของเรื่อง
The Wizard of Oz (1939) – จากโทนซีเปียในโลกจริงไปสู่โลกสีสันสดใสเพื่อสื่อถึงการเดินทางสู่โลกแฟนตาซี
สีในภาพยนตร์ไม่ใช่เพียงองค์ประกอบตกแต่งฉาก แต่เป็นเครื่องมือเล่าเรื่องที่ทรงพลัง เป็น "บทภาพยนตร์" อีกฉบับที่เขียนขึ้นด้วยแสงและเงา มันสามารถสร้างความเห็นอกเห็นใจ ทำให้เราหวาดกลัว หรือจุดประกายความหวังได้โดยไม่ต้องใช้คำพูดแม้แต่คำเดียว
ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณนั่งลงในโรงภาพยนตร์ที่มืดมิด ลองสังเกตให้ดี ไม่ใช่แค่เรื่องราวที่คุณได้ยิน แต่เป็นเรื่องราวที่คุณ "เห็น" ผ่านสีสันบนจอ เพราะบ่อยครั้งที่ภาษาไร้เสียงนี้กลับเป็นภาษาที่สื่อสารกับเราได้อย่างทรงพลังและลึกซึ้งที่สุด
ที่มา : digitalsynopsis nofilmschool