svasdssvasds

ทำไมคนถึงอินเรื่อง "วันสิ้นโลก" หรือแท้จริงโลกแตกไปแล้วตั้งแต่ปี 2012?

ทำไมคนถึงอินเรื่อง "วันสิ้นโลก" หรือแท้จริงโลกแตกไปแล้วตั้งแต่ปี 2012?

เริ่มปี 2024 กันอย่างสดใส เชื่อไหมว่า มนุษย์นั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่หมกมุ่นกับ "วันสิ้นโลก" มาโดยตลอด จากปรากฎการณ์ธรรมชาติก็ดี หรือคำทำนายเก่าแก่จากชาวมายาก็ดี แต่เมื่อเวลาผ่านมาแล้ว เทคโนโลยีก้าวหน้า ทำไมมนุษย์ถึงยักปักใจเชื่อว่า โลกจะถึงคราวล่มสลายอยู่?

เมื่อคนผิวดำถูกตั้งคำถามว่า คุณเชื่อไหมว่านี่คือยุคสมัยสุดท้ายของมนุษยชาติแล้ว? แม้คำถามฟังดูจะเป็นเรื่องเพ้อพก ชาวผิวดำที่นับถือศาสนาคริสต์ตอบว่าใช่ราว ๆ 76% คำตอบนี้ผูกโยงกับความเชื่อว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมายังโลก

เมื่อไปสำรวจประชากรชาวมะกันทั่วประเทศ (ผิวขาว) มีเพียง 34% เชื่อว่ามนุษย์กำลังดำเนินมาถึงจุดจบ นอกจากนี้ ชาวเอเชียในจำนวนใกล้เคียงกับคนผิวดำก็เชื่อเช่นกันว่า โลกกำลังจะแตก เราผ่านยุคคำลวงจากชาวมายาในปี 2012 มาแล้ว เหตุใดถึงมีคนเชื่อเรื่อง วันสิ้นโลก หรือ Doom Day อยู่อีก?

ต้องเรียนว่ามนุษย์นั้นมุ่งจิตวิญญาณที่มุ่งหากล่องแพนดอราอยู่ทุกครั้งที่มีโอกาสอยู่แล้ว สิ่งที่เป็นปรปักษ์กับมนุษย์เสมอมานั่นคือสิ่งที่เรียกว่า “ความเป็นไปไม่ได้”เห็นแล้วมันครั่นเนื้อครั่นตัว ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าสิ่งนั้นเป็นไปได้

หากเราเข้าใจภาพหรือสันดานของมนุษย์เบื้องต้นแล้ว วกกลับมาที่หัวข้อในวันนี้ก็จะลูบปากทันทีว่า “วันสิ้นโลก” ถือเป็นวัตถุดิบที่ยอดเยี่ยมในการเสริมสร้างจินตนาการของมนุษย์เป็นอย่างมาก

วันสิ้นโลก” ถือเป็นวัตถุดิบที่ยอดเยี่ยมในการเสริมสร้างจินตนาการของมนุษย์

แม้จะยังไม่มีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถยืนยันได้ว่า วันสิ้นโลกมีอยู่จริงหรือไม่ แต่ช่องว่างตรงนี้แหละที่ทำให้มนุษย์สนุกในการสร้างทฤษฎีต่าง ๆ จับนู่นมาโยงนี่ สนุกสนานกันไปตามแต่ละวัฒนธรรม

Spring News ชวนติดตามทฤษฎีว่าด้วยเรื่องวันสิ้นโลก แล้วมาดูว่าเหตุและผลที่สนับสนุนทฤษฎีนั้นจะมีน้ำหนักมากเพียงพอให้คุณเชื่อว่า โลกใบนี้จะดำเนินมาถึงจุดจบหรือไม่?

ดาวหางฮัลเลย์ 1910

ก่อนจะคิดหรือพินิจสิ่งใด ขอให้คุณลองจินตนาการว่าคุณเป็นมนุษย์ในยุคศตวรรษที่ 20 อย่างเต็มตัว ทั้งภาษา วิธีคิด จินตนาการ เทคโนโลยีที่โลกในยุคนั้นมี เปลี่ยนร่างแล้วนะ?

หอสมุดแห่งชาติรายงานว่า เกิดดาวหางจำนวนมากตกลงสู่โลก ซึ่งทำให้ผู้คนหวาดกลัววัตถุแปลกประหลาดชิ้นนี้เป็นอย่างมาก (ค้นยังหวาดกลัววัตถุจากนอกโลกอยู่)

ดาวหางฮัลเลย์ ในปี 1910

หวาดกลัวจนถึงขั้น มีการจำหน่ายยาป้องกันดาวหาง และหน้ากากป้องกันก๊าซพิษ ใช้สำหรับกันดาวหางพุ่งใส่โลก จนโลกแตก คำถามคือ ถ้าโลกแตกจริง ๆ หน้ากากจะช่วยได้อย่างนั้นหรือ ถือว่าเป็นเรื่องที่ขัดแย้งในเชิงตรรกะอยู่ไม่น้อย

แต่เอาเป็นว่าสุดท้ายแล้ว โลกก็ไม่ถึงคราวอวสาน นี่ถูกบันทึกเอาไว้เป็นครั้งแรกว่า น่าจะเป็นหนแรก ๆ ที่มนุษย์พร้อมใจกันเชื่อว่าโลกน่าจะใกล้แตกแล้ว

ยุค Y2K

ปกติแล้ว เราจะชิ้นคุ้นชินกับการเปลี่ยนตัวเลข 2 หลักสุดท้าย อาทิ 1997 > 1998 1998 > 1999 แต่เมื่อดำเนินมาถึงช่วงเปลี่ยนผ่านจาก 1999 > 2000 เลขมันเปลี่ยนตั้งสามหลัก แล้วมันจะเป็นอย่างไร ระบบต่าง ๆ ทั่วโลกจะล่มสลายหรือไม่

เอาจริง ๆ มันก็เป็นแค่ก็เปลี่ยนผ่านในรอบหนึ่งร้อยปีเท่านั้น แต่ก็วนกลับไปเรื่องเดิม มนุษย์ชอบตีฟูเรื่องราวต่าง ๆ ให้ใหญ่ขึ้นเป็นพิเศษตามสไตล์

Y2K ยุคสมัยที่คนเชื่อว่าโลกจะแตก Cr. Flickr

เผื่อผู้อ่านบางอ่านอาจเกิดไม่ทันในยุค Y2K ในการเปลี่ยนจาก ปี 1999 มาเป็นปี 2000 เกิดการอลหม่านขึ้นเป็นอย่างมาก บ้างบอกว่าระบบคอมพิวเตอร์ทั่วโลกจะล่มสลาย อารยธรรมมนุษย์อาจสูญสิ้น (ไปถึงเรื่องนั้นซะได้)

ระบบคอมพิวเตอร์ในปี 2000 รวนครั้งใหญ่  Cr. EMORY KRISTOF/ National Geograph

หลักใหญ่ของเรื่องนี้มันอยู่แค่ที่ว่า คอมพิวเตอร์ไม่เคยถูกเซ็ตระบบของปี 2000 เป็นต้นไปมาก่อน ทำให้เมื่อเข้าสู่สมัยใหม่ ก็ทำให้เกิดการตื่นตัวเป็นเรื่องปกติ แต่ที่เป็นเรื่องใหญ่ก็เพราะ ณ ช่วงเวลานั้น หลาย ๆ อุตสาหกรรมเริ่มนำระบบคอมพิวเตอร์เข้าไปใช้แล้ว

หลายคนจึงเกรงว่า ระบบอะไรจะรวนหรือเปล่า เช่น ด้านการแพทย์ ตัวเลขจะถูกคาดคะเนผิดหรือไม่ ก็ไม่แปลกใจที่ Y2K กลายเป็นกระแสที่คนจะวิตกกัน

2012 วันสิ้นโลก

เชื่อว่าผู้อ่านคงได้ลิ้มรสนั่งนับวันถอยหลังรอโลกแตก ภาพในหัวคือ เมื่อเข็มชี้เลข 12 เมื่อไหร่ แผ่นดินจะค่อย ๆ ทะลุ ลาวาไหลพลุ่งพล่าน ฝนตกห่าใหญ่ น้ำท่วมสูง โลกค่อย ๆ ระเบิดกลายเป็นเถ้าถ่าน ดังที่เผ่ามายาได้ทำนายเอาไว้

ปฏิทินชาวมายาทำนายวันโลกแตกของโลกในปี 2012 Cr. SMU

เช้าวันใหม่เริ่มขึ้น นกยังบิน รถยังวิ่ง แสงยำคงร่ำไร โลกไม่ได้แตกนี่นา ว่าง่าย ๆ โดนแกงกันทั้งโลก ปี 2012 ถือเป็นระลอกใหญ่พอสมควรที่มนุษย์ถูกต้มโดยเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ (อีกครั้ง)

ไม่วาย ยังมีคนเชื่ออยู่ว่า แท้จริงแล้ว โลกแตกไปตั้งแต่ปี 2012 แล้วนั่นแหละ ที่ที่เราอาศัยอยู่นั้นเป็นสถานที่เสมือนที่คล้ายโลกมากจนเราแบ่งแยกไม่ออก ถ้าเป็นคำที่คุ้นหูกันสักหน่อยก็น่าจะเป็น “โลกคู่ขนาน

ภาพยนตร์เรื่อง 2012: Doomsday บอกเล่าเหตุการณ์วันสิ้นโลก Cr. IMDb

อีกหนึ่งทฤษฎีที่ถูกจับโยงกับวันสิ้นโลก 2012 คือบอกว่า หรือแท้จริงแล้วเราอาจอยู่ในหลุมดำ ต้องบอกว่า หลุมดำยังเป็นสถานที่พิศวงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ที่แม้แต่นักวิทยาศาสตร์หัวกะทิของโลกก็ยังมิอาจล่วงรู้ได้ ดังนั้น ทฤษฎีที่เกิดขึ้นจึงเป็นเพียง ทฤษฎีสมคบคิดเท่านั้น หรือเรียกว่า “Conspiracy Theory” นั่นเอง

The Doomsday Clock นาฬิกาวันสิ้นโลก

มิได้มีนาฬิกาให้เห็นเป็นรูปธรรมแบบจับต้องได้ เพียงแต่เป็นวาทเชิงสัญลักษณ์ที่ถูกคิดขึ้นเพื่อเปรียบเทียบกับการนับถอยหลังของมหันตภัยทั่วโลก มหันตภัยที่ว่ามีอะไรบ้าง อาทิ การสร้างระเบิดนิวเคลียร์ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ สงครามโลก

The Doomsday Clock หรือ นาฬิกาวันสิ้นโลก Cr. Reuters

23:58:20 คือตัวเลขล่าสุดที่ถูกบันทึกเอาไว้ในปี 2563 พูดง่าย ๆ คือ นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่ามนุษย์โลกมีเวลาประมาณ 40 วินาที ตั้งแต่ที่นาฬิกาวันสิ้นโลกตั้งแต่ในยุคก่อตั้ง เปลี่ยนมาแล้วหลายครั้งหลายคน

ทว่า สร้างแรงกระเพื่อมได้เพียงหยิบมือ เพราะโลกยังเกิดสงคราม การปล่อยมลพิษออกสู่อากาศยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สัตว์ป่า ผู้คนในเขตพื้นที่ยากจนเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่ได้รับผลกระทบ แม้โลกจะยังไม่แตก แต่สำหรับพวกเขาแล้ว หากเรียกว่า โลกล่มสลายคงไม่เกินจริงนัก

กล่าวคือ วันนี้ พรุ่งนี้ ก็จะมีทฤษฎีสมคบคิดใหม่โผล่มาให้มนุษย์บันเทิงอยู่เรื่อย ๆ ทว่า จะยิ่งซับซ้อนซ่อนเงื่อน ถูกจับไปเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ปัจจุบัน เพื่อตอบสนองตัณหาของมนุษย์ด้วยกันเอง

วันสิ้นโลกมีอยู่จริง ๆ หรือไม่

คำถามคือ เราแคร์กันจริง ๆ หรือ หากโลกแตกไปจริง ๆ โลกเคยเกิดการวิพากย์ครั้งยิ่งใหญ่มาแล้ว เมื่อนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่งนามว่า นิโคลัส โคเปอร์นิคัส ผู้ที่ให้ไอเดียว่าศูนย์กลางของระบบสุริยะคือ ดวงอาทิตย์ ไม่ใช่โลก นั่นคือ ขยักแรกที่ Ego ของมนุษยชาติที่หักดังเปราะ

แล้วคุณล่ะ เชื่อว่าสักวันโลก (ที่เรารู้จัก) จะดับสูญหรือไม่? ถ้าใช่เป็นเพราะเหตุใด โลกจะแตกในช่วงหนึ่งร้อยปีนี้หรือไม่ หรือโลกเราจะอยู่ไปเรื่อย ๆ อยู่นานเพียงพอ จนโลกกลายเป็นเพียงอดีตบ้านของมนุษย์เท่านั้น...

 

 

 

เนื้อหาที่น่าสนใจ

related