svasdssvasds

รู้ทัน 6 ประเภทนักการเมืองในออฟฟิศ รับมือ Toxic People ในที่ทำงาน

รู้ทัน 6 ประเภทนักการเมืองในออฟฟิศ รับมือ Toxic People ในที่ทำงาน

ที่ไหนมีการตัดสินใจ ที่นั่นมีการเมือง! รับมือ 6 นักการเมืองในออฟฟิศ พัฒนา Human Skills เพื่อสร้างเครดิตและเติบโต นี่คือสนามที่เราต้อง "อยู่เป็น" เพื่อพิชิตโอกาส

SHORT CUT

  • การเมืองในออฟฟิศเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และเกิดขึ้นทุกที่ที่มีการตัดสินใจ
  • ต้องรู้จักประเภทของผู้เล่นการเมืองและวิเคราะห์โครงสร้างอำนาจเพื่อรับมือ
  • การเติบโตต้องใช้กลยุทธ์ "อยู่เป็น" โดยการสร้างเครดิตและพัฒนาทักษะมนุษย์

ที่ไหนมีการตัดสินใจ ที่นั่นมีการเมือง! รับมือ 6 นักการเมืองในออฟฟิศ พัฒนา Human Skills เพื่อสร้างเครดิตและเติบโต นี่คือสนามที่เราต้อง "อยู่เป็น" เพื่อพิชิตโอกาส

ทำไมเวลาคนมารวมตัวกันเยอะๆ ถึงต้องมีการเมือง? จริงๆ แล้วคำว่า "การเมือง" (Politics) เกิดขึ้นเมื่อมีคนอยู่รวมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป โดยมีเป้าหมายเพื่อหาข้อตกลงและปรับตัวให้อยู่ร่วมกันได้ในระบบ ตามพจนานุกรม การเมืองคือการรวมกลุ่มเพื่อตัดสินใจ ดังนั้น ที่ไหนมีการตัดสินใจ ที่นั่นก็มีการเมือง บางครั้งเราก็ให้นิยามการเมืองในที่ทำงานว่าเป็นเรื่องของการมี "ผลประโยชน์แอบแฝง" หรือ "Hidden Agenda"

น่าสนใจว่า การเมืองมักจะเกิดขึ้นมากเป็นพิเศษในช่วงที่บริษัทกำลังสงบและราบรื่น เหมือนกับคำที่ว่า "ยามศึกเรารบ ยามสงบเราชอบทะเลาะกันเอง" แต่ถ้าองค์กรมีการเมืองมากเกินไป สัญญาณที่เห็นได้ชัดคือ ผลผลิต (Output) จะไม่มี เพราะมัวแต่ทะเลาะกันและต่างคนต่างกั๊กข้อมูล หรือกระบวนการบริหารจัดการไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ขององค์กร

แม้คนส่วนใหญ่จะมองการเมืองในแง่ลบ เพราะเคยเจอประสบการณ์ไม่ดี เช่น ถูกกีดกัน ถูกมองข้าม หรือเห็นพฤติกรรมแย่ ๆ จากเพื่อนร่วมงาน แต่ก็มีมุมมองที่น่าสนใจว่า การเมืองในออฟฟิศก็สามารถช่วยกระตุ้นให้การทำงานมีประสิทธิภาพขึ้นและทำให้พนักงานมีความกระตือรือร้นได้เช่นกัน หากผู้นำสามารถรักษาสมดุลของบรรยากาศทีมได้ดี และผู้บริหารบางคนก็ยอมรับอย่างเปิดเผยและสอนให้พนักงานใหม่รับมือกับมันด้วยซ้ำ

ทำความรู้จักผู้เล่นและวิธีการ “อยู่เป็น”

เมื่อรู้ว่าเราหนีไม่พ้น เราก็ต้องรู้จักสนามรบและคู่แข่ง (หรืออาจเป็นมิตร?) ของเรา
6 ประเภทของนักการเมืองในออฟฟิศที่คุณต้องรู้ให้ทัน เพราะในทุกออฟฟิศ มักจะมีคนประเภทที่ชอบเล่นการเมืองอยู่ 6 ประเภทที่เราควรสังเกตและรู้วิธีรับมือ

1.นักซุบซิบ (Gossip Hound): คนที่รู้ทุกเรื่องในออฟฟิศ และมักนำข้อมูลส่วนตัวหรือความลับมาคุย

วิธีรับมือ: พยายามคุยเรื่องงานให้มากที่สุด และถ้าบทสนทนาเริ่มเข้าสู่ชีวิตส่วนตัวของคนอื่น ก็ควรรีบออกจากบทสนทนานั้น

2.โจรขโมยเครดิต (Credit Thief): มุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้า แม้จะต้องแย่งผลงานของคนอื่น

วิธีรับมือ: อัปเดตความคืบหน้าของงานและแนวคิดของเรากับเพื่อนร่วมงานและหัวหน้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ทุกคนรับรู้ถึงไอเดียของเรา

3.นักประจบ (Flatterer): เอาใจคนอื่นด้วยคำชมเพื่อผลประโยชน์

วิธีรับมือ: คนกลุ่มนี้มักจะมีลักษณะบางอย่างที่ทำให้หลายคนดูออกว่าคำชมนั้นจริงใจหรือไม่

4.นักทำลาย (Saboteur): ทำงานเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เปิดเผยการวิจารณ์คนอื่น กดเพื่อนร่วมงาน และหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบในความผิดพลาด

วิธีรับมือ: ป้องกันตัวเอง โต้แย้งข้อกล่าวหาที่ไม่ถูกต้อง และถ้าเริ่มรับมือไม่ไหว ให้ส่งเรื่องไปยังหัวหน้างานหรือฝ่ายบุคคล

5.นักล็อบบี้ (Lobbyist): เก่งในการโน้มน้าวใจคนเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการยอมรับงานของเรา

วิธีรับมือ: กล้าที่จะพูดมุมมองของเราเมื่อไม่เห็นด้วย เพราะคนกลุ่มนี้ไม่ชอบรับฟังความเห็นที่แตกต่าง การอธิบายอย่างมีเหตุผลจะช่วยเปิดมุมมองใหม่ ๆ ได้

6.ที่ปรึกษา (Advisor): คนกลุ่มนี้ใช้อำนาจของตัวเองอย่างแนบเนียนและมีประโยชน์ มักได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหารในการตัดสินใจ พวกเขามีอำนาจกำหนดทิศทางออฟฟิศโดยไม่สร้างความขัดแย้ง

วิธีรับมือ: หาคนกลุ่มนี้ให้เจอและผูกมิตรไว้ให้ได้

กลยุทธ์ "อยู่เป็น" เพื่ออยู่รอดและเติบโต 

คำว่า “อยู่เป็น” ไม่ใช่คำในแง่ลบเสมอไป แต่หมายถึงคนที่สามารถสร้างความสมดุลและพร้อมรับกฎเกณฑ์ขององค์กร เราต้องเปลี่ยนสนามรบการเมืองให้เป็นสนามพิชิตโอกาส

1.สร้างภาพจำและเครดิตที่ดี (Personal Branding) สร้าง Personal Branding ที่ดีตั้งแต่แรก เพื่อสร้างความไว้ใจให้คนรอบข้างและทำให้คนหยิบยื่นโอกาสมาให้ นี่เหมือนกับการ “ปลูกต้นไม้ในใจคน” การนำเสนองานที่ดีไม่เพียงแต่ต้องมีตรรกะ (Logical) และอารมณ์ (Emotional) แต่ต้องมี เครดิตของผู้พูด (Credit) ซึ่งเราต้องสร้างสมมาตั้งแต่เนิ่นๆ

2.วิเคราะห์โครงสร้างและความสัมพันธ์ เราต้องวิเคราะห์ให้ออกว่าใครคือผู้มีอิทธิพลที่แท้จริง ใครคือผู้ให้คำปรึกษา และใครคือมันสมองเบื้องหลัง จากนั้นทำความเข้าใจกับปฏิสัมพันธ์และความสัมพันธ์ของคนในออฟฟิศอย่างรอบคอบและให้ความเคารพ

3.เชื่อมต่อกับผู้คนอย่างชาญฉลาด เมื่อรู้โครงสร้างแล้ว ให้เริ่มสร้างความสัมพันธ์กับคนต่างทีม ผู้จัดการ และผู้บริหาร อย่ากลัวการทำความรู้จักกับกลุ่มคนที่มีอำนาจและเล่นการเมือง แต่ให้สร้างความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ ไม่ใช่แค่การเยินยอ ที่สำคัญคือ ต้องรักษาความเป็นกลาง หลีกเลี่ยงการร่วมวงนินทา และไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนเกินไป

4.พัฒนา "ทักษะมนุษย์" (Human Skills) เพราะการเมืองคือเรื่องของมนุษย์ การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล โดยเฉพาะกับผู้มีอำนาจ จะช่วยให้เราสร้างและรักษาเครือข่ายที่แข็งแรงได้ ทักษะสำคัญคือ การรับฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening) ซึ่งช่วยให้การเชื่อมต่อกับผู้คนเป็นไปอย่างราบรื่น

5.กล้าหาญแต่ไม่ไร้เดียงสา แม้หลายคนจะแนะนำให้หลีกหนีคนที่เป็นพิษ แต่บางครั้งการผูกมิตรกับคนเหล่านี้อาจมีประสิทธิภาพมากกว่า เหมือนกับสำนวนที่ว่า “เก็บเพื่อนไว้ใกล้ตัว และเก็บศัตรูไว้ให้ใกล้กว่า” เราควรรักษาระยะห่างที่เหมาะสม และทำความเข้าใจพฤติกรรมของพวกเขาเพื่อเอาตัวรอดจากเกมการเมือง

อาวุธสำคัญของคนทำงาน (The Worker’s Weapons)

เพื่อเติบโตไปเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ เราควรติดอาวุธเหล่านี้ไว้กับตัว

รู้ลึกรู้จริง: ความรู้แบบเป็ดไม่พออีกต่อไป เราต้องรู้ลึกในสาขาที่เราทำงาน และจะดีมากถ้ามีความรู้หลายด้าน แม้เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม เพื่อให้เราสามารถเป็น “ผู้นำตามสถานการณ์” โดยไม่ติดอยู่กับขอบเขตงาน

มีกัลยาณมิตรที่ดี: เราต้องถูกห้อมล้อมด้วยคนที่พร้อมส่งเสริมเรา ทั้งเจ้านาย Mentors เพื่อนร่วมงาน และลูกน้อง จงทำตัวเป็น "น้ำไม่เต็มแก้ว" พร้อมเรียนรู้เสมอ เพื่อให้คนอยากสอนและอยากให้คำแนะนำ

การเมืองในออฟฟิศเป็นประเด็นที่คนสู้งานทุกคนต้องพบเจอ เราได้เห็นแล้วว่า ผู้เชี่ยวชาญบางคนเคยปฏิเสธมันอย่างสิ้นเชิง แต่สุดท้ายเราก็ทราบว่าเราไม่สามารถนั่งอยู่เฉย ๆ ได้

การจัดการการเมืองในองค์กรต้องเริ่มจากการยึดวัตถุประสงค์ขององค์กรเป็นหลัก หากผู้นำสามารถจ้างและสนับสนุน A Player (พนักงานระดับ A) ให้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าได้ องค์กรจะมีแต่คนเก่งที่สอดคล้องกับเป้าหมาย และการเมืองเชิงลบก็จะลดลงตามธรรมชาติ (แม้จะต้องใช้เวลา)

ในฐานะพนักงาน เราไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นมาต่อต้านการเมืองเชิงลบอย่างเปิดเผย แต่เราสามารถทำให้ออฟฟิศมีวัฒนธรรมที่ดีขึ้นได้โดยการ ไม่ “จุดไฟ” และไม่ร่วมวงเกมการเมืองแย่ ๆ เช่น การไม่ส่งข่าวลือหรือเปิดเผยความลับที่ไม่จำเป็น

จงรักษาความเป็นมืออาชีพไว้เสมอ และเมื่อเกิดความขัดแย้ง ไม่จำเป็นต้องมีผู้แพ้หรือผู้ชนะ เราสามารถหาทางออกที่ทุกคนได้รับประโยชน์ โดยไม่กล่าวร้ายหรือทำลายอีกฝ่ายได้

มองการเมืองให้เป็นเรื่องของคน และมองหาว่าจะทำอย่างไรให้เราสามารถชนะใจคนรอบข้าง เพื่อให้เราสามารถอยู่ในสมรภูมิการทำงานที่เต็มไปด้วยกัลยาณมิตรที่ดี และเราเองก็เป็นกัลยาณมิตรที่ดีให้คนอื่นด้วยเช่นกัน

อ้างอิง

MissionToTheMoon / Skooldio / HBR /

related