ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th
ในรัชสมัยอันยาวนานของพระองค์ท่าน ไทยเราขยับจากประเทศยากจนขึ้นมาเป็นประเทศรายได้ปานกลาง มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 22 ของโลก หากนับตามกำลังซื้อที่เป็นจริง
จากชาติที่โลกไม่รู้จักไทยในรัชสมัยของพระองค์ กลายเป็นประเทศที่มีชาวต่างประเทศมาเยี่ยมเยือนมากเป็นอันดับ 6 ของโลก และมี 3 เมืองของเราที่อยู่ใน 25 เมืองของเอเชีย-แปซิฟิกที่มีคนทั่วโลกมาเยือนมากที่สุด ชื่อเสียงไทยขจรขจายไปทั่วโลก
แต่หากมองให้เห็นว่าตลอดเวลาที่เราสับสน ปั่นป่วน ขัดแย้ง ต่อสู้และวิพากษ์วิจารณ์กันบ่อยครั้งและอย่างหนักนั้น ก็อยู่ใต้พระบรมเดชานุภาพ พระบุญญาบารมี และพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ ที่ทรงรวมใจไทยทั้งชาติได้หลายครั้งหลายคราตลอดรัชสมัยอันยาวนานและต่อเนื่อง และนั่นคือคำตอบว่า ประเทศไทย จริงๆ แล้วก้าวมาไกลมากได้อย่างไร ในรัชกาลที่ 9 ที่เพิ่งสิ้นสุดลง
คืนนี้เป็นคืนที่สามหลังจากพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ความเศร้าหมองอันคาดไว้แล้ว ยามเกิดจริงมากกว่าที่คาดเป็นหนักหนา แผ่ขยายออกปกคลุมไปทั่วประเทศ เคยประเมินมาตลอดครับว่าคนไทย แม้เด็กๆและวัยรุ่นเอง ก็น่าจะยังเทิดทูน บูชา และจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
แต่อดวิตกไม่ได้อยู่เสมอว่าโลกเปลี่ยนไปเยอะ คนรุ่นใหม่ดูจะคิดอะไรใหม่ๆ ไม่เหมือนคนรุ่นเราหรือแก่กว่าเรา และพระองค์ท่านก็ทรงพระประชวรอยู่ในโรงพยาบาลนานมากแล้ว เกรงว่าคนที่อายุตํ่ากว่ายิ่สิบปี หรือ สามสิบปีอาจจะไม่เห็นท่านทรงงาน หรือเสด็จฯเยี่ยมเยียนราษฎร
ทว่า สองวันสามคืนที่ผ่านมาได้ซาบซึ้งใจยิ่งแล้วว่า เราได้กลับมาเป็นคนไทย “หัวใจเดียวกัน” อีกครั้ง คนไทยนั้นช่างรัก บูชา และอาลัยในพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศเสียนี่กระไร มาก กว่าที่เราท่านคิดกัน และมากกว่าที่ผมเองเคยประเมินไว้ล้นเหลือ
ความวิปโยคโศกาอาดูรนั้นเกิดขึ้นเอง เป็นธรรมชาติที่สุด ไม่มีใครชักจูงหรือปรุงแต่งเกิดขึ้นอย่างรุนแรง แม้จะสงบเยือกเย็น และออกมาจากส่วนลึกของหัวใจคนไทยนั้น ด้วยความที่เป็นพุทธเป็นส่วนใหญ่มักรู้จักอดกลั้นความเศร้าโศก แต่กระนั้นก็อดกลั้นไม่ได้ ร้องไห้มากกว่า ลึกกว่าตอนที่พ่อตัวเองตายเสียอีก หลายคนบอกกับผมอย่างนี้ และผมก็รู้สึกอย่างนี้
ความวิปโยคนี้เกิดกับคนทุกวัย โดยเฉพาะกับคนหนุ่มสาวสมัยใหม่ด้วย เกิดกับผู้คนในทุกฐานะทุกระดับ และเกิดกับทุกกลุ่มทุกฝ่ายทางการเมือง รวมทั้งกับบางส่วนที่เคย “เหินห่าง”กับสถาบันประเพณีเดิมด้วย
ช่วงราวสิบปีมานี้สื่อมวลชน “ตะวันตก” ส่วนหนึ่ง มองสถาบันดั้งเดิมของไทยในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นนั้น การแสดงออกของ“ตะวันตก” ต่อการสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัว ย่อมบอกเราว่า จริงๆ แล้ว ทั้งโลกนั้น “เคารพ” และร่วม “เสียใจ” กับคนไทยในความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้
ทรงเชื่อมั่นในกฎมณเฑียรบาลในรัฐธรรมนูญ และโบราณราชประเพณี ทรงวางพระราชหฤทัยในผู้สำเร็จราชการ นายกรัฐมนตรี และประธานสภานิติบัญญัติฯ และทรงแสดงถึงกตัญญุตาธรรมที่จะส่งประกอบพระราชพิธีงานพระบรมศพต่างๆ จนครบถ้วนเหมาะสมเสียก่อน แล้วจึงให้เริ่มงานสืบรัชกาลใหม่
และถวายพระพรด้วยสัจวาจาว่า “ขอให้พระองค์ท่านทรงเป็นธรรมราชผู้ทรงพระปรีชาญาณ” ปกเกล้าปกกระหม่อมปวงข้าพระพุทธเจ้าต่อไปและตลอดไป
คืนนี้เป็นคืนที่หกนับแต่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต เสียงร้องไห้ยังดังระงมอยู่ทุกหนแห่ง โดยเฉพาะที่ที่มีผู้ คนอยู่รวมกันจำนวนมาก เมื่อมี คนเริ่มร้องคนอื่นๆ ก็จะครํ่าครวญ หวนไห้ตาม เป็นปรากฏการณ์จิตวิทยาสังคม ที่ทำให้อารมณ์และความรู้สึกของผู้คนพุ่งขึ้นแรงเป็นทบเท่าทวีคูณ
คนไทยเศร้าไปด้วย คิดทบทวนถึงสิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงทำมาเจ็ดสิบปีไปด้วยและพูดคุยกันอย่างกว้างขวางว่า ไม่น่าเชื่อ ท่านทรงทำอะไรให้เรามากเป็นล้นพ้น แทบทุกคนอยากไปกราบพระบรมศพหรือไปอออยู่หน้าวังหลวง ไปจุดธูปเทียนแสดงความอาลัยและความเคารพรักต่อพระองค์ท่าน
สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณนั่นเอง ที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ด้วยเหตุที่คิดพร้อมๆ กันเป็นเรือนล้าน พลังแห่งความกตัญญูรู้คุณจึงก่อเป็นกระแสสูง มีคนทุกเพศทุกวัยออกมาเป็น จิตอาสารับส่งผู้ที่จะเดินทางไปวังหลวง บริการอาหารนํ้า ที่พักที่นอน ให้เพื่อนร่วมชาติโดยเฉพาะที่มาจากที่ห่างไกล จากความเศร้าโศก “ร่วมหมู่” นั้น แปรเปลี่ยนเป็นความรักและห่วงใยต่อทุกคนที่รัก “พ่อ” คนเดียวกัน
ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่าควรหย่อนคลายลงบ้าง ให้คนอื่นๆ แต่งกายไว้ทุกข์อย่างเป็นธรรมชาติด้วยเถิด พวกเขาไปร่วมงานพิธีธรรมดาแบบฉบับตนเองทุกคืน ไปอออยู่หน้าวังหลวงทุกวันทุกคืน
(อ่านต่อฉบับหน้า)
• หมายเหตุ : บทความนี้เขียนเดือนตุลาคม 2559
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,307 วันที่ 22 - 25 ตุลาคม พ.ศ. 2560