ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th
12 เมืองใหญ่ของโลก ไม่ว่าจะเป็นกรุงลอนดอน(อังกฤษ) / กรุงปารีส(ฝรั่งเศส) / นครลอสแองเจลลิส(แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา) / กรุงโตเกียว(ญี่ปุ่น) / กรุงโคเปนเฮเกน(เดนมาร์ก) / นครบาร์เซโลนา(สเปน) / กรุงกีโต(เอกวาดอร์) / นครแวนคูเวอร์(แคนาดา) / กรุงเม็กซิโกซิตี้(เม็กซิโก) / นครมิลาน(อิตาลี) / ซีแอตเทิล(วอชิงตัน สหรัฐอเมริกา) / และโอ๊คแลนด์(นิวซีแลนด์) ลงนามร่วมกันเพื่อเป็นพันธะสัญญาว่าทั้ง 12 เมืองจะทำให้เมืองมีรถบัสโดยสารสาธารณะ(รถเมล์)ที่ไม่ปล่อยมลพิษตั้งแต่ปี ค.ศ. 2025 เป็นต้นไป เพื่อทำให้เมืองปลอดมลพิษจากน้ำมันเชื้อเพลิงภายในปี ค.ศ. 2030 จุดประสงค์เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับรณรงค์ให้ผู้คนเดินทางด้วยการเดิน ขี่จักรยาน และใช้บริการรถสาธารณะที่ไม่ปล่อยมลพิษ
การร่วมกันลงนามครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการจำกัดการปล่อยมลพิษทางอากาศตามข้อตกลงปารีส 2015 เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้สำเร็จด้วยการสร้างพื้นที่แบบซีโร่อีมิชชั่นนั่นคือ การสร้างสวนสาธารณะให้มากขึ้น สร้างทางเดินเท้า สร้างถนนที่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานไฮโดรเจนเท่านั้นที่ผ่านได้ แผนทั้งหมดนี้ก็เพื่อทำให้เมืองน่าอยู่มากขึ้น
12 เมืองนี้มีประชากรรวมกันเกือบ 80 ล้านคน และทั้ง 12 เมืองต่างก็เป็นสมาชิกของกลุ่ม C40 เครือข่ายเมืองขนาดใหญ่ของโลกที่มุ่งเน้นศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ผลักดันการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ปัจจุบัน กรุงลอนดอน ของอังกฤษเป็นเมืองที่มีรถใช้พลังงานไฟฟ้ามากที่สุดในยุโรป และใช้รถบัสเครื่องยนต์ไฮบริดมากกว่า 2,500 คันแล้ว