ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th
นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ อธิการวิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์บทความ เรื่อง ประชาธิปไตยระบอบทหาร กับราชาธิปไตย ผ่านเฟซบุ๊ก เอนก เหล่าธรรมทัศน์ Anek Laothamatas ใจความว่า
ประเทศสยามหรือไทยนั้น ตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2475 ตั้งใจจะเป็นระบอบรัฐธรรมนูญหรือระบอบประชาธิปไตย แต่เอาเข้าจริงต้องมีรัฐบาลทหารหรือรัฐบาลที่ทหารหนุนหลัง มาสลับฉาก อยู่เสมอ แต่ สิ่งที่ต่อเนื่องกว่า ยืนยงกว่า และชอบธรรมมากกว่า ทั้งกว่าประชาธิปไตย และ กว่าเผด็จการและไม่เคยสะดุดหยุดล้มเลย ตลอด 85 ปี ที่ผ่านมา ก็คือ “ราชาธิปไตย”
“ราชาธิปไตย” คือ การปกครองอันมีสถาบัน และ มีองค์พระมหากษัตริย์ เป็นแก่นสารหรือเป็นเสาหลักของระบอบ กล่าวให้กระจ่างยิ่งขึ้น ราชาธิปไตยในรอบ 85 ปีของเราที่ผ่านมานี้ เป็นปรมิตตาญาสิทธิราชย์ หรือ Limited Monarchy โดยอยู่เคียงคู่หรืออยู่ใต้กำกับรัฐธรรมนูญ -ประชาธิปไตย และเคียงคู่กับระบอบเผด็จการ-อำนาจทหาร ด้วย
ตลอด 70 ปี อันยาวนานของรัชกาลที่ 9 มีการยึดอำนาจสลับกับการเลือกตั้ง ความชอบธรรมทางการเมืองที่ประชาชนมีให้แก่ระบอบเลือกตั้งและระบอบยึดอำนาจนั้น มีเกือบจะเท่าๆ กัน และกล่าวได้ชัดถ้อยชัดคำว่า มีให้ “ไม่มาก”เลย น่าเสียใจครับ แทนนักประชาธิปไตย แทนคณะราษฎร
ในทางกลับกัน เป็นที่พิศวง และผู้คนในยุค 2475-2493 นั้น ย่อมไม่ฝันจะได้เห็น คือ พระมหากษัตริย์ ทั้งที่ทรงเป็นองค์บุคคล และที่เป็นสถาบัน และที่เกือบจะต้องสิ้นสุด หรือยุติไปหลายครั้ง กลับยืนหยัดอยู่ได้ ผ่านร้อนผ่านหนาวกลับมา “ยิ่งใหญ่” อีกได้ กล่าวได้ครับว่า “ปรมิตตาญาสิทธิราชย์” ในขณะนี้ ยิ่งใหญ่ และมหาชนยอมรับยิ่งกว่า “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” ของ ร.7 เป็นล้นพ้น
ต่อมาเลวร้ายกว่านั้น ยังมีกรณี ล้นเกล้า ร. 8 สวรรคต อย่างคาดไม่ถึง และต้องทราบกันนะครับว่า ร.9 เสด็จขึ้นครองราชย์ต่อ ในภาวะที่ยังไม่เป็นที่กระจ่างว่า สมเด็จพระเชษฐาธิราชสวรรคต ด้วยเหตุอันใด และในขณะที่เสด็จกลับมาเตรียมการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น การเมืองไทยก็ยิ่งออกห่างจากอุดมคติประชาธิปไตย ไปอีกไกลโพ้น เมื่อคณะทหารได้ขึ้นเถลิงอำนาจต่อ จากคณะราษฎรอย่างเปิดเผย
ภาวการณ์ที่กล่าวมา ล้วนไม่เป็นคุณต่อพระมหากษัตริย์และราชาธิปไตย ยิ่งกว่านั้นในสมัยของจอมพลสฤษดิ์ และจอมพลถนอม รวมเวลาถึง 16 ปี จากปี 2500-2516 นั้นก็เป็นที่ปรากฏชัดว่า บ้านเมืองมีรัฐธรรมนูญอยู่เพียงสองสามปี สถานภาพของพระมหากษัตริย์ จึงไม่มีรัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษรใด รับรองเป็นเวลานานมาก
ทว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ และ ราชาธิปไตย กลับยังอยู่ เป็นที่ยอมรับ เป็นที่ศรัทธามากขึ้น ทบเท่าทวีขึ้น แทบไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้ บทบาทของพระมหากษัตริย์ และอำนาจของพระองค์ท่าน โดยเฉพาะในยามที่การเมืองวิกฤต หรือ บ้านเมือง “ร้อนร้าย” อันสำคัญยิ่ง แต่ก็เป็นอำนาจที่รัฐธรรมนูญฉบับลายลักษณ์ไม่ได้ให้ไว้อย่างชัดเจน กลับกลายเป็นที่ยึดกุมของทุกฝ่าย ทุกส่วนของสังคม รวมทั้งฝ่ายการเมือง ฝ่ายทหาร และราชการ แทบทุกฝ่ายล้วนเชื่อฟัง ล้วนปฏิบัติตาม เดินย่างตามรอยพระยุคลบาท อย่างน่าอัศจรรย์
สถาบันพระมหากษัตริย์ อันน่าจะเป็นเพียงประมุขของรัฐที่เป็นทางการ ที่น่าจะเป็นเพียงพิธีกรรม พิธีการ หรือเป็นแค่ความสง่างามทางประเพณี กลับได้ “หัวใจ” ของทวยราษฎร์ไป การที่ทรงงานอย่างไม่หยุดพัก อย่างตรากตรำ หนักหน่วง จนดูไม่เหมือน "มนุษย์ธรรมดา" เพื่อพสกนิกร และเพื่อบ้านเมือง ของพระองค์ท่าน ประกอบกับหลักธรรมราชา หรือ ทศพิธราชธรรม และ หลักธรรมาธิปไตย อันยิ่งใหญ่ที่ทรงประพฤติ จึงได้รับความนิยม-ชมชอบ จากราษฎรมากขึ้น ทบทวียิ่งขึ้น ราษฏรทั่วประเทศ จึงต่างถวายความจงรักภักดี และสุดท้าย บูชา สักการะ พระองค์ท่านอย่างสุดหัวใจ
ก็นี่แหละครับ ความพิลึก อันสุดแสนจะพรรณนา ของประวัติศาสตร์ 2475 ซึ่งโดยความตั้งใจ โดยเจตนารมณ์แล้ว คณะราษฎรต้องการสถาปนาระบอบประชาธิปไตย ล้มราชาธิปไตย แต่คงเหลือพระมหากษัตริย์เอาไว้ ในฐานะประมุขแห่งรัฐ ที่ไม่มีอำนาจหรือไม่มีบทบาทในกิจบ้านการเมือง แต่ผลลัพธ์ เหลือจะคะเนได้ ในที่สุดคณะราษฎรเอง ก็ยืนระยะให้ยาวนานไม่ได้ แตกแยก แตกหักกันเอง ต้องจบฉากไปเองอย่างสมบูรณ์แบบหลังปี 2500
แต่ที่จริง นับแต่ ปี 2490 มา คณะผู้ก่อการนี้ ก็แทบจะไม่เหลือบทบาทและอำนาจแล้ว เมื่ออดีตนายกรัฐมนตรี ปรีดี พนมยงค์ ต้องลี้ภัยหนีออกนอกประเทศ และจอมพลป. พิบูลสงคราม แม้จะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก แต่ก็ด้วยอาศัยกำลังทหาร เป็นสำคัญ
ในเวลาต่อมา จากปี 2500 มา “คณะปฏิวัติ” ที่แทบไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคณะราษฎร และใช้ทหารหรือกองทัพล้วนๆ เป็นฐาน โดยแทบไม่เห็นความสำคัญของรัฐธรรมนูญ อันประกอบด้วย จอมพลสฤษดิ์- ถนอม - ประภาส ครองอำนาจ
แม้คณะนี้ จะล้มในเวลาต่อมาอีก คือในปี 2516 จากพลังนักศึกษาและ มีมูลเหตุจากปัจจัยภายในอื่นๆ ประกอบแต่ฝ่ายนักการเมือง พรรคการเมือง ที่มาจากการเลือกตั้ง ที่ปกครองประเทศอยู่ตั้งแต่ช่วงปี 2516 จนเกือบถึงปัจจุบัน ก็ไม่อาจจะลงหลักปักฐานที่มั่นคงได้ กลับต้องปกครองประเทศสลับกับคณะทหารชุดแล้วชุดเล่า ที่มาจากการยึดอำนาจตลอดในช่วง ปี 2516 จนถึงปัจจุบัน
แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้มีอำนาจจากการเลือกตั้ง หรือผู้มีอำนาจจากการยึดอำนาจ แทบทุกฝ่ายทุกกลุ่มล้วนไม่กล้าแตะต้อง ก้าวล่วง หรือ ท้าทาย องค์พระมหากษัตริย์ ล้วนต้องเข้าเฝ้าขอความเห็นชอบ และความสนับสนุนจากสถาบัน ล้วนต้องรับพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ จึงเข้าดำรงตำแหน่งได้ อย่างสง่างาม
ผิดหรือไม่ครับ ลองคิดดูครับ ถ้าเราจะกล่าวว่า 24 มิถุนายน 2475 นั้น ในความเป็นจริง และมองอยู่เฉพาะในตอนนี้ นะครับ คือการเปลี่ยนผ่านจาก "ราชาธิปไตยแบบ ร.7" ซึ่งไม่ค่อยได้รับการยอมรับ และประกอบภารกิจที่ไม่ได้ผลมากนัก กลายมาเป็น"ราชาธิปไตยแบบ ร.9" ซึ่งแม้จะต้อง อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ-ประชาธิปไตย โดยสลับตลอดเวลากับระบอบทหาร-การยึดอำนาจ แต่ก็ชอบธรรมและได้ผลยิ่ง
สถานะของพระมหากษัตริย์ไทย นั้นยิ่งใหญ่กว่าทฤษฎีรัฐธรรมนูญ ที่กล่าวว่าประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผมคิดว่าควรจะเรียกระบอบของเราว่าเป็น “ราชาธิปไตย” หรือกล่าวให้ละเอียดถี่ถ้วนยิ่งขึ้นก็ได้ว่าเป็น "ปรมิตตาญาราชาธิปไตย" ที่ไม่ว่าระบอบเลือกตั้ง-ประชาธิปไตย หรือ ระบอบเผด็จการ-ยึดอำนาจ ก็ตาม ล้วนต้องขอพึ่งพิง และขอการรับรองหรือความเห็นชอบเสมอ