รัสเซีย สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ด้วยการเอาชนะจุดโทษ สเปน ไปได้ 4-3 หลังเสมอกันในเวลา 1-1 ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ ส่วน กระทิงดุ เก็บของกลับบ้านพร้อมสองทีมใหญ่อย่าง โปรตุเกส และ อาร์เจนติน่า
เกมนี้ สเปน ของเทรนเนอร์ เฟร์นานโด เอียร์โร่ เปลี่ยนแปลง 3 จุด มาร์โก อเซนซิโอ, โกเก้ และ นาโช่ เฟร์นานเดซ สลับลงตัวจริงแทน อันเดรส อีเนียสต้า, ติอาโก้ อัลกันตาร่า และ ดานี่ การ์บาฆาล ด้าน สตานิสลาฟ เชอร์เชซอฟ เทรนเนอร์ รัสเซีย ปรับทีม 4 ตำแหน่ง อเล็กซานเดอร์ โกโลวิน, ยูริ เชียร์คอฟ, ดาเลอร์ คูเซียเยฟ, มาริโอ แฟร์นันเดส ลงแทน อเล็กเซ มิรานชุค, เดนิส เชรีเชฟ, ยูริ กาซินสกี้ และที่ติดโทษแบน อีกอร์ สโมลนิคอฟ
เกมผ่านไป 12 นาที สเปน ขึ้นนำ 1-0 จากฟรีคิกฝั่งขวา มาร์โก อเซนซิโอ เปิดลึกไปเสาไกล เซอร์เก อิ๊กนาเชวิช ประกบอยู่กับ เซร์คิโอ รามอส แล้วหันหลังให้บอล บอลตกลงมาโดนขากองหลังรัสเซียเข้าประตูตัวเอง พอเสียประตู รัสเซีย เริ่มกระตุ้นเกมรุกได้ดีขึ้น นาที 36 โรมัน ซอบนิน ไหลให้ อเล็กซานเดอร์ โกโลวิน แต่งเข้าเท้าขวาแล้วปั่นโค้งจากระยะ 18 หลาหน้ากรอบ แต่บอลเลี้ยวไม่พอ หลุดเสาสองออกไป นาที 41 หมีขาว มาได้จุดโทษ อเล็กซานเดอร์ ซาเมดอฟ ครอสจากด้านขวา อาร์เต็ม ชิวบา ขึ้นโหม่งไปติดแขน เคราร์ด ปิเก้ ที่ยกขึ้นมาขวางเต็มๆ ผู้ตัดสินรอจังหวะสักพักก่อนเป่าให้เป็นจุดโทษ และใบเหลืองแก่ ปิเก้ ก่อนที่ ชิวบา สังหารจุดโทษเข้าไปตีเสมอให้ รัสเซีย 1-1
ครึ่งหลัง รัสเซีย ส่ง วลาดิเมียร์ กรานัต แทน ยูริ เชียร์คอฟ ตั้งแต่เริ่ม จากนั้นก็ทะยอยส่ง เดนิส เชรีเชฟ แทน อเล็กซานเดอร์ ซาเมดอฟ นาที 61 และ เฟดอร์ สโมลอฟ แทน อาร์เต็ม ชิวบา นาที 65 ขณะที่ สเปน ส่ง อันเดรส อีเนียสต้า แทน ดาบิด ซิลบา นาที 67, ดาเนียล การ์บาฆาล แทน นาโช่ เฟร์นานเดซ ที่บาดเจ็บนาที 70 และคนสุดท้าย ยาโก้ อัสปาส แทน ดีเอโก้ คอสต้า นาที 80 กระทิงดุ เกือบได้ประตูชัยในนาที 85 อีเนียสต้า ตัวสำรอง ส่องไกลจากหน้ากรอบโทษ อีกอร์ อาคินเฟเยฟ พุ่งเซฟออกมา ยาโก้ อัสปาส ซ้ำอีกทีก็ถูกเซฟผ่านหน้าประตูออกไป
จบเกม 90 นาที สเปน เสมอ รัสเซีย 1-1 ต้องต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที แต่ก็ยังไม่มีสกอร์เกิดขึ้นเพิ่ม ทำให้ต้องตัดสินด้วยการยิงจุดโทษ ซึ่งผลปรากฎว่า รัสเซีย สร้างประวัติศาสตร์ได้สำเร็จ เมื่อเอาชนะ สเปน ช่วงดวลจุดโทษ 4-3 ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมได้เป็นครั้งแรก