"อิตาลี" ยังคงวิกฤต วันเดียวไวรัสโควิด 19 คร่าชีวิตเกือบ 800 คน รวมยอดเสียชีวิต 4,825 ราย ติดเชื้อกว่าครึ่งแสนคน "อิหร่าน" ตายทะลุ 1.5 พัน ป่วยเกิน 2 หมื่น "สิงคโปร์" ปิดประเทศ ทั่วโลกยอดเสียชีวิตทะลุ 12,973
วานนี้ (22 มี.ค.63) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานระบาด โควิด-19 ว่า จำนวนผู้เสียชีวิตในอิตาลีทำสถิติใหม่อีกครั้ง โดยเสียชีวิตสูงถึง 793 ราย ใน 24 ชั่วโมง
ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตรวมอยู่ที่ 4,825 ราย ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อในอิตาลีเพิ่มอยู่ที่ 53,578 คน จาก 47,021 คน จากหนึ่งวันก่อนหน้า
โดยในจำนวนนี้มีผู้ที่อยู่ในห้องฉุกเฉินสำหรับผู้ป่วยหนัก 2,857 คน เพิ่มขึ้นจาก 2,655 คนก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดของผู้เสียชีวิตและผู้ติดเชื้อในอิตาลี ส่งผลให้แคว้นลอมบาร์เดีย ทางตอนเหนือของประเทศ ซึ่งเป็นต้นตอการแพร่ระบาดได้ประกาศมาตรการคุมเข้มเพิ่มขึ้น โดยขอให้ธุรกิจทุกอย่างซึ่งรวมถึงกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าที่จำเป็นจนส่งไปถึงมือผู้บริโภคยุติการดำเนินการ และให้ยุติการก่อสร้างในทุกจุด เว้นแต่การสร้างโรงพยาบาล ถนน และรางรถไฟเท่านั้น ทำให้กิจกรรมต่างๆ ซึ่งรวมถึงการเล่นกีฬานอกบ้าน แม้จะเป็นการดำเนินการเพียงลำพังถูกสั่งห้ามทั้งหมด รวมถึงห้ามใช้เครื่องขายสินค้าอัตโนมัติ เช่นเดียวกับตลาดที่เปิดขายสินค้ากลางแจ้งในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ต้องระงับด้วย
นายจูเซปเป คอนเต นายกรัฐมนตรีอิตาลี ประกาศด่วนผ่านทางเฟซบุ๊ก เมื่อคืนวันเสาร์(21 มี.ค.) ตามเวลาท้องถิ่นว่าจะปิดธุรกิจเชิงพาณิชย์ทั้งหมดในประเทศ เว้นแต่ว่าธุรกิจดังกล่าวจะมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัส ทั้งนี้อิตาลีประกาศยกระดับการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้เข้มงวดยิ่งขึ้น โดยเรียกวิกฤติที่เกิดขึ้นในอิตาลีขณะนี้ว่า “เป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุดของประเทศนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2”
นายคอนเต กล่าวว่า ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านขายยาจะยังคงเปิดให้บริการตามปกติ รวมทั้งธนาคาร และบริการขนส่งที่จำเป็น แต่ธุรกิจเชิงพาณิชย์ ที่ไม่จำเป็นจะถูกสั่งปิดทั้งหมด ขณะที่โรงงานและบริษัทที่ยังดำเนินงานอย่างมีข้อจำกัดก่อนหน้านี้จะไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินงานได้อีกต่อไป คาดว่าข้อบังคับใหม่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันจันทร์(23 มี.ค.)เป็นต้นไป
ด้านกระทรวงสาธารณสุขอิหร่าน แจ้งยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในอิหร่าน ว่าเพิ่มขึ้นเป็น 1,556 รายแล้ว เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ที่ผ่านมา และมียอดผู้ติดเชื้อสะสมที่ 20,610 รายแล้ว
โดยนายเคียนูช จาฮันปูร์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุขอิหร่าน กล่าวในการแถลงข่าวผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ
เตือนว่า ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสจะเพิ่มมากขึ้นจนกว่าผู้คนจะระงับการเดินทางในช่วงวันหยุดปีใหม่ 2 สัปดาห์ของชาวอิหร่าน ที่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม
ขณะที่ ประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี แห่งอิหร่าน กล่าวในวันเดียวกันว่า มาตรการ “เว้นระยะทางสังคม” จะช่วยต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาได้ ซึ่งรวมทั้งการจำกัดการเดินทาง ที่จะต้องมีเป็นเวลา 2-3 สัปดาห์ หลังจากนั้นวิกฤติก็จะคลี่คลายลง
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานด้วยว่า สิงคโปร์ประกาศยกระดับมาตรการสกัดการระบาดโควิด-19 โดยห้ามนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนสิงคโปร์ระยะสั้นเข้ามาในประเทศ
รวมทั้งผู้โดยสารที่จะมาต่อเครื่องบินที่สนามบินสิงคโปร์ นับตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม โดยมาตรการดังกล่าวยกเว้นให้แก่ผู้มีใบอนุญาตทำงานที่จำเป็น เช่น งานด้านสาธารณสุข
และการคมนาคม แต่กระทรวงทรัพยากรมนุษย์จะพิจารณาอีกครั้งเป็นรายกรณี ทั้งนี้การยกระดับมาตรการดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดข้ามประเทศของเชื้อไวรัส เนื่องจากเกือบ 80% ของผู้ป่วยรายใหม่ที่กระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ยืนยันในรอบ 72 ชั่วโมงล่าสุด
ก่อนออกแถลงการณ์ฉบับนี้ เป็นชาวต่างชาติซึ่งมีถิ่นพำนักถาวรหรือได้สิทธิ์เยี่ยมเยียนระยะยาว
สำหรับสิงคโปร์ ยังยืนยันตัวเลขพบผู้ติดเชื้อรายใหม่อีก 47 คนจึงทำให้ยอดสะสมผู้ติดเชื้อไวรัสจนถึงเช้าวันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม อยู่ที่ 432 คนแล้ว
ด้านตัวเลขยอดผู้เสียชีวิตทั่วโลก ขณะนี้อยู่ที่ 12,973 คน พบผู้เสียชีวิตมากที่สุด 3 อันดับแรกในอิตาลี จีน และอิหร่าน ส่วนผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 304,528 คน
ทั้งนี้ จีนยังคงเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุด ขณะที่อิตาลีตามมาเป็นอันดับสองที่ 53,578 สหรัฐ 25,493 สเปน 25,374 เยอรมนี 22,213 อิหร่าน 20,610 และฝรั่งเศส
14,308 ส่วนผู้ติดเชื้อซึ่งได้รับการรักษาจนหายแล้วทั่วโลกอยู่ที่ 91,678 คน
ส่วน พญ.มาเรีย แวน เคอร์คอฟ หัวหน้าฝ่ายโรคอุบัติใหม่และโรคที่รับจากสัตว์ ขององค์การอนามัยโลก(ฮู) เปิดเผยว่า ไวรัสสามารถแพร่ได้ผ่านทางละออง หรือของเหลวเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่ผ่านทางการจาม หรือไอ เมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้เกิดละอองลอย เช่น ในสถานพยาบาล อาจมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดอนุภาคของละอองลอยเหล่านี้ ซึ่งหมายความว่ามันสามารถอยู่ในอากาศได้นานขึ้นไปอีก ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขจะเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น เพื่อต้องทำงานกับผู้ป่วย และอยู่ในการดำเนินการเหล่านี้
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ของฮู ระบุว่า ไวรัสโคโรนา สามารถแพร่ผ่านทางอากาศ และระยะเวลาในการอยู่ในอากาศได้นานเท่าไร ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความร้อน ความชื้น เป็นต้น
พญ.เคอร์คอฟ ระบุด้วยว่า เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเองรับรู้เกี่ยวกับผลการศึกษาหลายชิ้นในหลายประเทศ ที่พุ่งเป้าไปที่สภาพแวดล้อมที่แตกต่างไปที่โควิด-19 จะสามารถคงอยู่ได้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พุ่งเป้าไปที่การศึกษาว่า ความชื้น อุณหภูมิ และรังสีอัลตราไวโอเลต มีผลต่อโรคอย่างไร รวมไปถึงจะสามารถอยู่บนพื้นผิวต่างๆ ได้นานเท่าใด