เอกชนยังลุ้นหนักผลเลือกตั้งสหรัฐฯชี้หาก ‘โจไบเดน’ ชนะเจรจาGSPง่ายขึ้น

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในครั้งนี้ เอกชนต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากส่งผลต่อนโยบายการค้าและการลงทุนที่เปลี่ยนไปซึ่งมีผลทั้งบวกและลบโดยหากนายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ชนะการเลือกตั้งประธานธิบดีสหรัฐฯ และพรรคเดโมแครตสามารถครองเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา อาจจะส่งผลให้นโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ กับคู่ค้ามีแนวโน้มกลับมาผ่อนคลายมากขึ้น

ทั้งนี้มองว่าการเลือกตั้งสหรัฐครั้งนี้หากผู้ชนะการเลือกตั้งเป็นพรรคเดโมแครตจะมีผลต่อนโยบายการค้า มีเสรีมากขึ้น และมีแนวโน้มที่สหรัฐฯจะเข้าเป็นสมาชิกในกลุ่มประเทศที่มีข้อตกลงการค้าเสรีที่ครอบคลุมในเรื่องการค้า การบริการ และการลงทุน หรือ CPTPP เพื่อสร้างมาตรฐานและกฎระเบียบร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก ก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงหากผู้ชนะมาจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งมีนโยบายสหรัฐต้องมาก่อนเชื่อว่านโยบายการค้ายังคงเหมือนเดิม ซึ่งผู้ประกอบการไทยจำเป็นจะต้องพัฒนาสินค้าตัวเองมากขึ้นเพื่อแข่งขันในตลาดรวมถึงการหาตลาดใหม่ๆเพื่อทดแทนตลาดสหรัฐ ด้านการลงทุนยังมองว่าอาเซียนยังเป็น กลุ่มประเทศเป้าหมายที่หลายประเทศให้ความสนใจอยู่

ส่วนนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มองว่า การเลือกตั้งสหรัฐฯ ในครั้งนี้หากได้ผู้นำมาแล้วทุกฝ่ายต้องยอมรับ หากไม่ยอมรับในผลเลือกตั้งอาจทำให้ส่งผลกระทบต่อตลาดเงิน ตลาดทุน ทำให้ผันผวนไปทั่วโลก โดยส่วนตัวเห็นว่าหากโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะก็จะยังคงสานต่อนโยบายเดิมเหมือนเมื่อ 4 ปีที่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องสงครามการค้ากับจีน หรือเทรดวอร์ ที่อเมริกากำลังพยายามจะลดการขาดดุลการค้า ส่วนไทยก็จะได้รับผลกระทบจากเทรดวอร์เหมือนเดิม ส่วนถ้าหากโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งการค้า มีเสรีมากขึ้น และแนวโน้มที่จะเข้าเป็นสมาชิก CPTPP มีสูงมากพร้อมร่วมเดินหน้าเป็นพันธมิตรทางการค้ามายังกลุ่มอาเซียนรวมถึงจีนด้วย

.

ขณะที่นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า ไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกา ในเรื่องการค้า การลงทุน ก็ส่งผลกระทบกับไทยอยู่แล้ว โดยเบื้องต้นมองว่าหากโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะ เชื่อว่าการกีดกันทางการค้าจะยังคงเหมือนเดิม และโจ่งแจ้งเห็นชัดเจน ขณะเดียวกันจะยังคงเดินหน้าเรื่องเทรดวอร์แน่นอน ซึ่งส่งผลกระทบต่อไทยอยู่แล้ว

ทั้งนี้ส่วนตัวมองอีกว่าหาก โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการลุงทุนจะไหลเข้ามาสู่ตลาดอาเซียนมากขึ้นโดยเฉพาะ อินโดนีเซีย เวียดนาม จะได้รับอานิสงส์เพราะมีแรงงานเพียงพอรองรับการลงทุนใหม่ ส่วนเรื่องตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร หรือGSP ไทยก็คงจะเพิ่มขึ้นหากไม่มีการไปเจรจา

ส่วนถ้าหาก โจ ไบเดน ชนะ ก็มองว่าการกีดกันทางการค้าก็ยังมีเช่นกัน แต่จะมาในรูปแบบเงียบ ๆ ผ่านองค์การค้าโลกต่าง ๆ จะไม่โจ่งแจ้งเหมือนที่โดนัลด์ ทรัมป์ ทำอยู่  ส่วนเรื่องตัดสิทธิ GSP ไทยหากมีการเจรจาก็คงจะพูดคุยต่อรองได้ง่ายกว่าโดนัลด์ ทรัมป์ โดยสรุป คือ ไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีอเมริกา ถ้าอยากให้ไทยน่าลงทุนไทยเองต้องปรับตัวเองให้มีเสน่ห์ดึงดูดนักลงทุนด้วย อย่างเช่น ต้นทุนเรื่องแรงงานต้องไม่สูงมาก  แรงงานต้องเพียงพอ ส่วนเรื่องโลจิสติกส์ไทยถือว่าได้เปรียบหลายประเทศในอาเซียน ประเด็นสุดท้าย คือ เรื่องกรอบการค้าการลงทุนหลาย ๆอย่าง ต้องเอื้อต่อนักลงทุนจริง ๆ

.

มาดูฟากของตลาดเงิน ตลาดทุน นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด บอกว่า คะแนนความนิยมของตลาดหุ้นและตลาดเงินเทน้ำหนักไปทางโจ ไบเดน และพรรคเดโมแครตอาจได้ครองเสียงทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรด้วย ทั้งนี้หากเป็นไปตามโพลและฝ่ายวิจัยคาด นโยบายเศรษฐกิจจะยังเหมือนกับพรรครีพับลิกัน คือ นโยบายการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งจีนจะยังคงโดนกีดกันการค้าต่อไป

ขณะเดียวกัน มองว่า เงินทุนเคลื่อนย้าย (ฟันด์โฟลว์) จะมีเงินไหลออกจากสหรัฐไปยุโรปและเอเชีย ในประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวได้ดี เช่น จีน, เวียดนาม หรือกลุ่ม TIP (ไทย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์) แต่การเติบโตของเศรษฐกิจไทยอาจจะยังไม่ฟื้นตัวดีมากเมื่อเทียบในกลุ่ม