สิงคโปร์ ขยายเวลามาตรการควบคุมโควิด19 ออกไปอีก 1 เดือน

รัฐบาลสิงคโปร์ ประกาศ ขยายเวลามาตรการควบคุมโควิด19 ออกไปอีก 1 เดือน หลังพบยอดติดเชื้อและเสียชีวิตพุ่งสูงสุดตั้งแต่เคยระบาดมา

รัฐบาลสิงคโปร์ ประกาศจะขยายเวลามาตรการควบคุมโควิด19 อีกหนึ่งเดือน ไปสิ้นสุดในวันที่ 21 พ.ย. หลังจากกระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ รายงานว่า มีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด19 เพิ่มขึ้นกว่า 3,862 ราย และเสียชีวิตถึง 18 ราย ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดตั้งแต่เคยมีการระบาดของโควิด19

"น่าเสียดาย เนื่องจากแรงกดดันอย่างต่อเนื่องในระบบการรักษาพยาบาลของเรา ทำให้ต้องใช้เวลามากขึ้นเพื่อให้สถานการณ์มีเสถียรภาพ ผู้ป่วยที่บรรทุกผู้ป่วยหนักอย่างต่อเนื่อง กระทรวงฯ กำลังทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อสนับสนุนและสนับสนุนโรงพยาบาล" กระทรวงสาธารณสุข ระบุในระหว่างการแถลงข่าว

ลอว์เรนซ์ หว่อง ประธานร่วมคณะทำงานเฉพาะกิจด้านโควิด19 ของสิงคโปร์ กล่าวว่า "เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ต่างเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้า ในสถานการณ์ปัจจุบัน เราเผชิญกับความเสี่ยงอย่างมากที่ระบบการรักษาพยาบาลจะถูกครอบงำ"

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :

สิงคโปร์ได้ประกาศก่อนหน้านี้ในเดือนมิถุนายนว่าจะละทิ้งกลยุทธ์ปลอดโควิด หรือ โควิดศูนย์ราย เพื่อสนับสนุนแผนใหม่ในการอยู่ร่วมกับโควิด19 การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้ด้วยอัตราการฉีดวัคซีนที่สูงของประเทศ

ณ วันที่ 19 ต.ค. สิงคโปร์ได้ฉีดวัคซีนครบสองโดสให้แก่ประชากรไปแล้วกว่า 84% และฉีดวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งโดสกว่า 85% ของประชากร

มาตรการใหม่ที่เรียกว่า "ระยะรักษาเสถียรภาพ" มีผลบังคับใช้ในวันที่ 27 ก.ย. และเดิมมีกำหนดสิ้นสุดวันที่ 24 ต.ค. ภายใต้มาตรการเหล่านี้ การรวมตัวทางสังคมจะถูกจำกัดไว้สูงสุด 2 ครั้ง และสนับสนุนให้คนงานอยู่บ้าน

กระทรวงสาธารณสุขกล่าว ข้อจำกัดที่ขยายเวลาจะได้รับการตรวจสอบภายในเวลา 2 สัปดาห์ และจะปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ของชุมชนโควิด19

ในช่วง 28 วันที่ผ่านมา 98.7% ของผู้ติดเชื้อในพื้นที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย และมีเพียง 0.1% ที่ต้องเข้ารับการรักษาในห้องไอซียู (ICU)

ยอดผู้เสียชีวิตโดยรวมของสิงคโปร์จากการระบาดใหญ่ขณะนี้อยู่ที่ 264 ราย กระทรวงระบุ พร้อมเตือนด้วยว่า ยังคงมีผู้ติดเชื้อโควิด19 จำนวนมากในหมู่พลเมืองที่ไม่ได้รับวัคซีนที่มีอายุเกิน 60 ปี

"ในช่วง 5 วันที่ผ่านมา จำนวนผู้ติดเชื้อในกลุ่มนี้มีค่าเฉลี่ย 127 ต่อวัน" กระทรวงระบุ โดยเสริมว่าผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 60 ปี คิดเป็น 2 ใน 3 ของผู้ป่วยทั้งหมดในห้องไอซียู