svasdssvasds

แม้ Facebook เคยสำเร็จในการยกเครื่องธุรกิจมาก่อน แต่ครั้งนี้จะยากขึ้นอีก

แม้ Facebook เคยสำเร็จในการยกเครื่องธุรกิจมาก่อน แต่ครั้งนี้จะยากขึ้นอีก

Meta เคยสะดุดปัญหาเมื่อยังเป็น Facebook แต่ก็สำเร็จในการยกเครื่องธุรกิจ ทว่าครั้งนี้จะยากขึ้นอีก ทั้งการเดิมพันอนาคตของบริษัท ปัญหาอื้อฉาวจนอยู่ในการสอดส่องของหน่วยงานกำกับ การเปลี่ยนแปลงของ Apple ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว และอัตราผู้ใช้ใหม่ที่ลดลง

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Meta สะดุดปัญหาทางธุรกิจ ย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้ว ในปี 2012 ในสมัยที่ยังใช้ชื่อว่า Facebook เคยประสบกับการชะตัวของรายได้ ประกอบกับค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ตามหลังคู่แข่งอื่น ๆ ที่หันไปให้ความสนใจด้านสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตมากขึ้น

การให้ความสำคัญกับ "Mobile First"

แต่ภายในสองปี Facebook สามารถพลิกสถานการณ์ได้ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2014 ยอดขายโตขึ้นกว่า 72% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และผลกำไรเพิ่มขึ้นสามเท่าหลังจากที่บริษัทจัดระเบียบใหม่ให้ "มือถือมาก่อน" (Mobile First) การเปลี่ยนแปลงที่ประสบความสำเร็จนั้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตำนานของ Facebook และเหตุผลหลักที่ทำให้ Facebook เฟื่องฟูอย่างทุกวันนี้

ทศวรรษต่อมา ในสมัยที่บริษัทเปลี่ยนชื่อเป็น Meta กลับมาอยู่ในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงเดิม หลังจากที่ประกาศผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายที่ช็อกไปทั่วโลก จนหุ้นดิ่งเหวกว่า 26% ทั้งการลงทุนครั้งใหญ่ที่เอาอนาคตของบริษัทมาเดิมพัน การผจญกับปัญหาอื้อฉาวจนอยู่ในการสอดส่องของหน่วยงานกำกับ การเปลี่ยนแปลงระบบปฏิบัติการของ Apple ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น และอัตราเติบโตของผู้ใช้ใหม่ที่ลดลง จนทำให้เกิดวันซื้อขายที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ในฐานะบริษัทมหาชน

มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ผู้ก่อตั้ง-ซีอีโอ Meta

มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ผู้ก่อตั้ง-ซีอีโอ Meta วางเดิมพันอนาคตของบริษัทกับเทคโนโลยีที่ผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีเสมือนจริง (Virtual Reality: VR) และ ความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality: AR) ซึ่งเขาเรียกว่า Metaverse ถึงขนาดที่ว่าเป็น "ผู้สืบทอดอินเทอร์เน็ตบนมือถือ"

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง :

แต่หนึ่งความแตกต่างที่สำคัญอย่างมากกับสถานการณ์ของ Meta ณ ตอนนี้ กับ Facebook ณ ตอนนั้น คือ สมาร์ทโฟนเป็นที่เฟื่องฟูอยู่แล้ว เมื่อ Facebook หันมาให้ความสำคัญ "Mobile First" ก็เหมือนเสือติดปีก แต่ทว่า "Metaverse" ณ ตอนนี้เพิ่งอยู่ในขั้นตั้งไข่เพียงเท่านั้น ทั้งเทคโนโลยี VR และ AR ซึ่งยังห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่มาก

ชุดหูฟัง VR

ในปี 2012 มีสมาร์ทโฟนถูกขายทั่วโลกแล้วหลายร้อยล้านเครื่อง ในขณะที่ปีที่ผ่านมา 2021 ตามข้อมูลของ (International Data Corporation: IDC) สำนักวิจัยตลาดเทคโนโลยี เผยว่า มีชุดหูฟัง VR ถูกขายประมาณ 9.4 ล้านเครื่องเพียงเท่านั้น โดยเป็นชุดหูฟัง Oculus ของ Meta ที่ครองตลาดอยู่ในขณะนี้ แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ทั้งหมดของ "Metaverse" อยู่ดี

เส้นทางที่ไม่ได้กำหนดไปยัง Metaverse

ในขณะที่ปัญหารุมเร้าในโลกแห่งความเป็นจริง มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ลงพนันในโลกเสมือนจริง และเชื่อว่าเขาจะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ได้ในโลกแห่งอนาคต ที่แม้แต่ตัวเขาเองยังยอมรับกับความไม่แน่นอนบางอย่างที่อาจโผล่ขึ้นมา

"แม้ว่าทิศทางจะชัดเจน แต่เส้นทางข้างหน้าของเราไม่ได้ถูกกำหนดไว้อย่างสมบูรณ์" มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก กล่าว

แน่นอนว่าธุรกิจไม่ใช่เรื่องของการกุศล การลงทุนครั้งใหญ่ของ Meta กับเทคโนโลยี VR และ AR มีราคาที่สูงลิบ ทำให้บริษัทขาดทุนกว่า 1.03 หมื่นล้านดอลลาร์ (3.4 แสนล้านบาท)

เรเชล โจนส์ (Rachel Jones) นักวิเคราะห์จากบริษัทวิเคราะห์ข้อมูล GlobalData กล่าวว่า "Meta กำลังเสียสละรูปแบบธุรกิจหลักสำหรับความหลงใหลใน Metaverse และเดิมพันครั้งใหญ่ไปกับมันแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องเลวร้าย Metaverse ถูกกำหนดให้มีขนาดใหญ่และเต็มไปด้วยโอกาสมากมาย แต่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีกทศวรรษกว่าจะไปต่อได้"

Oculus

Facebook มองการไกลมากสำหรับ Metaverse โดยเข้าซื้อกิจการ Oculus ตั้งแต่ในปี 2014 โดยกล่าวว่า ชุดหูฟังมีศักยภาพที่จะเป็น "แพลตฟอร์มการสื่อสารใหม่" แต่ความคืบสำหรับเทคโนโลยี VR กลับเป็นไปอย่างเชื่องช้า เมื่อเทียบกับการใช้สมาร์ทโฟน

แองเจโล ซิโน (Angelo Zino) นักวิเคราะห์หุ้นอาวุโสของ CFRA Research กล่าวว่า ถึงแม้ว่าการรีแบรนด์จะดึงดูดความสนใจได้อย่างดีในปีที่แล้ว ทว่าคู่แข่งบางรายของ Meta กลับอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าในการเป็นผู้นำโลก Metaverse

ยกตัวอย่าง Apple ผู้ผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์รายใหญ่ หรือผู้ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ชื่อดังอย่าง Roblox หรือแม้แต่แพลตฟอร์มอื่นที่มีฐานผู้ใช้งานอายุน้อยที่มากกว่าอย่าง TikTok และ Snap ซึ่งมีแนวโน้มที่จะยอมรับ Metaverse มากกว่าทางฝั่ง Meta ที่ถูกมองว่าเป็นพื้นที่สำหรับติดต่อกับญาติผู้ใหญ่ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะไม่ค่อยยอมรับเทคโนโลยี VR และ AR ในช่วงแรก ๆ

"คุณมองไปที่ Meta ในวันนี้ พวกเขามีเงินเกือบทั้งหมดในโลกที่จะทุ่มกับสิ่งนี้ แต่ในขณะเดียวกัน มีผู้เล่นอีกหลายคนที่พยายามทำสิ่งเดียวกันกับที่ Meta พยายามทำ และผมขอยืนยันว่ามีผู้เล่นจำนวนมากที่รออยู่ข้างหน้า" ซิโน่ กล่าว

ติดปัญหาในโลกแห่งความจริง

นักวิเคราะห์ คาดการณ์ไว้ตั้งแต่ตอนที่บริษัทเปลี่ยนชื่อจาก Facebook เป็น Meta เพื่อกระโจนเข้าสู่โลก Metaverse ไว้แล้วว่า อาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดเพราะไขว้เขวไปจากธุรกิจหลักที่ยังมีปัญหารุมเร้า ซึ่งพิสูจน์แล้วจากปฏิกิริยาของนักลงทุนในสัปดาห์ทีผ่านมา

เดฟ เวห์เนอร์ (Dave Wehner) ซีเอฟโอของ Meta

เดฟ เวห์เนอร์ (Dave Wehner) ซีเอฟโอของ Meta ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงในระบบปฏิบัติการ iOS 14.5 ของ Apple ได้สร้างอุปสรรคขนาดมหึมาสำหรับธุรกิจโฆษณา ซึ่งยากต่อการติดตามเส้นทางผู้ใช้งานในโลกอินเทอร์เน็ต ทั้งนี้เพื่อกำหนดเป้าหมายในการโฆษณา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้ปี 2022 ถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ (3.3 แสนล้านบาท)

และอีกหนึ่งสิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่ในระยะยาวคือ การที่ Facebook ล้มเหลวในการเพิ่มผู้ใช้งานใหม่ในไตรมาสที่แล้ว เนื่องจากกำลังเผชิญปัญหาท้าทายที่ไม่สามารถหามนุษย์ที่จะเปลี่ยนเป็นผู้ใช้งานใหม่ได้อีก จากการที่มีผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มแล้วกว่า 2.98 พันล้านราย (ประชากรโลกมี 7.9 พันล้านคน) และการถูกแย่งชิงเวลาผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียจาก TikTok ที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ที่อายุน้อยกว่า

"ฐานผู้ใช้ที่ซบเซาคือ ภัยคุกคามอย่างแน่นอน เมื่อคุณมีผู้ใช้งานรายเดือนที่เงียบเหงาแบบนี้ บริษัทโฆษณาสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน" ซิโน กล่าว

ซิโน ให้คำแนะนำคร่าวๆ สำหรับ Meta ได้แค่ "คาดว่า Meta จะเพิ่มรายรับได้ระหว่าง 3-11% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2022 เทียบกับไตรมาสแรกของปีที่แล้ว ซึ่งเติบโตกว่า 48% นี่อาจเป็นสัญญาณว่า Meta กำลังสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดสำหรับพื้นที่โฆษณา" (ธุรกิจโฆษณาของ Meta ยังคงทำรายได้มากกว่า 99.5% ของรายได้ทั้งหมด)

Reels ฟีเจอร์วีดิโอสั้น บน Instagram

สัปดาห์ที่ผ่านมา Meta แถลงว่า บริษัทกำลังวางเดิมพันมหาศาลบน Instagram Reels ซึ่งเป็นวีดิโอสั้นแบบ TikTok แต่ในเวอร์ชันของตัวเอง ซึ่งนี่จะเป็นกุญแจสำคัญในการหารายได้ให้แก่บริษัท

แต่ผู้บริหารของ Meta เผยว่า รูปแบบดังกล่าวได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสร้างรายได้ยากกว่าผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ซึ่งทางผู้เชี่ยวชาญ ให้ความเห็นว่า ผู้ใช้งานอายุน้อยใช้แพลตฟอร์มอย่าง TikTok และ Snapchat มากกว่า

ในอีกด้านหนึ่ง Meta อาจหาทางออกนี้ด้วยการความพยายามในการเข้าซื้อกิจการอื่น ๆ อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับ Instagram ในปี 2012 (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีรายงานว่า Facebook พยายามซื้อ Snapchat ในปี 2013)

อย่างไรก็ตาม Meta ยังคงทำรายได้สุทธิเกือบ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ (1.3 ล้านล้านบาท) ในปีที่แล้ว และสิ้นสุดปีด้วยการถือกระแสเงินสดกว่า 48,000 ล้านดอลลาร์ (1.58 ล้านล้านบาท) แต่อีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากปี 2012 ที่สุดคือ ณ ตอนนั้นไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลคอยจับตามองบริษัทตลอดเวลาเหมือนดั่งทุกวันนี้ เนื่องจาก Meta กำลังต่อสู้กับคดีต่อต้านการผูกขาดในการซื้อกิจการ Instagram และ WhatsApp

ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดความท้าทายมากมายสำหรับ Meta ในคราวเดียวกัน ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ตั้งข้อสังเกตว่า "Meta น่าจะไม่สามารถผลักดันให้ผลประกอบการดีขึ้นได้ในระยะสั้น" กล่าวอีกนัยหนึ่ง Facebook ชนเข้ากับกำแพงขนาดใหญ่ที่ดูไม่ง่ายเลยที่จะก้าวข้ามไปได้

related