svasdssvasds

จิมมี่ พัชรฎา จบ ม.3 เป็นได้แค่เด็กล้างจาน คำดูถูก เจ็บจนไม่กล้าขี้เกียจ

จิมมี่ พัชรฎา จบ ม.3 เป็นได้แค่เด็กล้างจาน คำดูถูก เจ็บจนไม่กล้าขี้เกียจ

จากคำพูดของเพื่อนร่วมชั้น สู่การสร้างปมในใจที่กลายเป็นแรงผลักดันให้ "จิมมี่ พัชรฎา" มิสแกรนด์กระบี่ 2023 สู้กับทุกอุปสรรคของชีวิตจริงที่ยิ่งกว่าละคร เกิดมาไม่เคยเห็นหน้าพ่อ แม่เอาไปฝากไว้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เติบโตมาด้วยความรักตากับยาย

จิมมี่ เดินทางเข้ามาหางานทำในกรุงเทพตั้งแต่ อายุ 16 ปี และประกวดนางงามทำตามความฝันจนสามารถคว้าตำแหน่ง TOP20 มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ 2023 ความสำเร็จที่เธอพิสูจน์ให้เห็นว่า "ความพยายามไม่เคยทรยศใคร" มีอยู่จริงเสมอ

"จิมมี่" เด็กสาวขาดพ่อไร้แม่

"ตอนเด็กๆ จิมถูกแม่แท้ๆ เอาไปทิ้งไว้ที่บ้านรับเลี้ยงเด็กกำพร้า จากนั้นเขาก็ได้มีการประกาศตามหาว่าเด็กคนนี้เป็นใคร มีญาติไหม จนในที่สุดคุณยายคุณตา ก็คืออยู่ที่เขตชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดศรีสะเกษ ท่านก็ได้ยินเสียงหอกระจายข่าว หลังจากนั้นท่านก็ไปยืนเงินคนในหมู่บ้านช่วยกัน แล้วก็นั่งรถจากชายแดน เข้ามาเพื่อที่จะรับหนูกลับไปเลี้ยง"

"ความทรงจำเกี่ยวกับคุณพ่อแท้ๆ คือไม่มีเลย สิ่งที่เดียวที่อยู่ สิ่งเดียวที่เป็นของคุณพ่อแล้วอยู่ในตัวจิมก็คือสายเลือดก็คือเลือดของความเป็นลูกครึ่งไทย-กาน่า แต่ว่าไม่เคยได้เจอ ไม่เคยสัมผัส ท่านก็มาเจอกับคุณแม่ที่ถนนข้าวสารและก็รักกัน ก็ตั้งใจที่จะสร้างครอบครัวด้วยกัน อันนี้คือสิ่งที่จิมทราบมา แต่สุดท้ายแล้วเนี่ยเหมือนตำรวจของไทยก็คือไม่เห็นท่านพกพาสสปอร์ตก็เลยจับ และก็ดำเนินการส่งตัวกลับประเทศ"

"แต่ท่านเหมือนท่านไว้ใจเพื่อนคนนึงที่เป็นเพื่อนของคุณแม่ด้วย ก็เลยฝากที่อยู่ ฝากเบอร์โทรศัพท์ ฝากเบอร์ติดต่อ รวมถึงฝากเงินก้อนจำนวนนึง ซึ่งถือว่าเยอะมากในตอนนั้น ตอนนั้นแม่น่าจะกำลังท้องหนูอยู่ไม่แน่ใจว่า สามเดือนหรือสี่เดือนและที่นี่ปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นก็คือไม่ได้เอาเงินก้อนนั้นมาให้คุณแม่แล้วก็หายสาปสูญไปเลย"

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

"หนูไม่รู้ว่าหนูโกรธเขาไหม แต่หนูแค่รู้สึกว่าหนูผิดหวังกับจุดเริ่มต้นที่ครอบครัวเราควรจะมีครบแต่มันกลับไม่มีเลย เพียงแค่การตัดสินใจด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ที่ ที่ผู้หญิงคนนั้นเขาทำกับเรา จิมจเพิ่งรู้เรื่องที่หนูโดนเอาไปทิ้งไว้บ้านแบบเลี้ยงเด็กกำพร้าตอนอายุประมาณอนุบาลหนึ่ง ตอนที่เขากลับมาที่หมู่บ้าน เพราะว่าตั้งแต่เขาเอาเราไปวางไว้ตรงนั้นเขาไม่เคยกลับมาเลยไม่เลยแม้แต่ครั้งเดียวในชีวิต"

"แต่พอวันนั้นที่เขากลับมาเขากลับมาพร้อมกับเขาประสบความสำเร็จในชีวิตระดับนึงแล้ว พร้อมจะเลี้ยงเรา พร้อมจะเลี้ยงพ่อแม่ แต่ ณ ตอนนั้นกับเป็นคำถามในใจหนูว่าผู้หญิงคนนี้คือ ใคร เขาคือใคร เขามาทำไม ทำไมเพิ่งมา เราอยู่ของเราอย่างมีความสุข หนูอยู่กับยายอยู่กับตา นั่นคือพ่อนั่นคือแม่หนูไม่รู้สึกว่าเขาเป็นยายกับตาหนูเลย แต่วันที่เรากลับมาก็คือวันแรกในชีวิตที่หนูรู้สึกว่า วันนั้นคือวันแรกในชีวิตที่หนูรู้สึกเสียใจที่สุดคือหนูรู้สึกว่ายายกับตาไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆ"

"ลำบากยากไร้" แต่ไม่น้อยใจโชคชะตา

"บ้านเราไม่ใช่ครอบครัวที่ยากจนนะ แต่เรายากไร้จริงๆ เราไม่ได้มีจริงๆ ปลาทูหนึ่งตัวยายกับตามีหลานประมาณห้าหกคน ปลาทูหนึ่งตัวกินกันห้าหกคน ยายกับตาจะไม่กินค่ะ เขาจะกินแค่ตาปลาทูที่เหลือจะเอาให้หลานๆ กิน เขาก็จะกินข้าวน้ำปลา เกลือ แล้วเขาก็อร่อยมากเลยนะ คือหนูเห็นความเสียสละของเขามาตั้งแต่เด็กมันก็เลยเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวหนูเองรู้สึกว่าเราจะต้องทำอะไรเพื่อเขาให้ได้ งานอะไรที่หนูทำได้ตั้งแต่เด็กหนูก็จะทำ

จิมมี่ พัชรฎา จบ ม.3 เป็นได้แค่เด็กล้างจาน คำดูถูก เจ็บจนไม่กล้าขี้เกียจ

"ตั้งแต่เด็ก 4-5 ขวบ เด็กแถวชายแดนเริ่มทำงานกันแล้วค่ะ รับซักผ้า กวาดบ้าน คืออะไรก็ตามที่รับจ้างได้ทำได้หมดเลยขอแค่ให้ได้ตังค์ หนูสนุกกับสิ่งที่หนูทำ เช่น ไปปลูกมันสำปะหลังอยู่บนภูเขาหนูก็มีความสุขของหนู ได้เงินวันละ 25 บาท 50 บาท หนูก็มีความสุขไปเข็นผักที่ตลาดตอนตี 2-3 ยายกับตาจะเป็นคนที่บอกกับเราตลอดเลยว่าไม่ต้องน้อยใจนะว่าโชคชะตาจะทำอะไรให้กับชีวิตเราเป็นแบบไหนสำคัญที่สุดคือตัวเราเองนี่แหละ เลือกที่จะทำอะไร"

"หนูอยากเป็นของขวัญที่ดีที่สุดให้ยายกับตาให้แม่ให้พ่อให้ทุกคนที่เขาแบบสร้างเรามาถึงแม้ว่าใครก็ตามจะทอดทิ้งหนูไปแต่หนูบอกกับตัวเองว่าหนูจะต้องได้ดีให้ได้ชาติไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหนูจะทำให้ได้หนูอยากเห็นว่าตัวเองจะไปยืนอยู่จุดสูงสุดในชีวิตได้ขนาดไหนหนูเชื่อว่ามันไปได้หนูเชื่อว่าถึงแต่หนูก็อยากทำให้คนรอบตัวหนูเขาสุขสบายแล้วเขาก็ได้อยู่กับเราในวันที่เราไปถึงด้วย"

จิมมี่ พัชรฎา จบ ม.3 เป็นได้แค่เด็กล้างจาน คำดูถูก เจ็บจนไม่กล้าขี้เกียจ

"เด็กล้างจาน" คำดูถูกเจ็บจนไม่กล้าท้อ

"จิมต้องเล่าว่าคุณแม่มีสามีใหม่ ช่วงที่เขากลับมาต้องบอกว่าหนูไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาตัดสินใจทิ้งหนู แต่หนูรู้เลยว่าเขาพยายามมากๆ ที่จะเติมเต็มลูกคนนี้ให้เต็มที่ๆ สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เขาพยายามที่จะส่งเรียนทุกอย่างที่เขาจะสามารถให้หนูเรียนได้ แต่พอหนูอายุ 14 ปี สามีของคุณแม่เสียชีวิตกะทันหัน ตอนนั้นคือเป็นช่วงที่บ้านมีแล้ว คุณแม่สร้างบ้านได้แล้วคือความสุขสบายในชีวิตตอนนั้นดีมากๆ แต่พอป่าป๊าเสียทุกอย่างพังหมด คุณแม่โทรมาที่บ้านว่าให้จิมมี่หยุดเรียนได้ไหม หนูเห็นยายกับตาอยู่ในห้องครัวแล้วเขาก็คุยกันว่าเรามีที่ดินอยู่ผืนนึงประมาณ 10 ไร่"

"เราจะเอาไปขายกันไหมให้หลานคนนี้ไปเรียน ไม่อยากให้หลานเสียการเรียนแต่มันคือที่ดินที่แบบเขารักค่ะ หนูก็เลยเดินไปบอกเขาว่าไม่ต้องขายที่ขายนาให้หนูเรียนนะ หนูเชื่อว่าวันนึงหนูจะสามารถเรียนในสิ่งที่หนูต้องการที่จะเรียนได้ ตอนที่จบ ม.3 คือจิมอยู่ในห้องที่เขาเรียกว่าห้องคิง ก่อนจบ ม.3 เพื่อนจะวางแผนกันแล้วว่าจะไปเรียนหมอนะ มหาลัยนี้นะ เรานั่งฟังความฝันของเพื่อน นั่งฟังพ่อแม่เพื่อนวางแผนว่าต้องทำยังไง"

"ในขณะที่เกรดหนูสามารถไปแบบเขาได้ แต่ก็มีคนนึงพูดว่าถ้าจบ ม.3 แล้วจิมมี่ไม่เรียนต่ออย่างมากเป็นได้แค่เด็กล้างจานหนูจำได้แม่นเลย แล้วหนูบอกกับตัวเองไม่ต้องไปด่าเขานะ คอยดูแล้วกันเราจะไปได้ไกลแค่ไหน เจ็บมาก เจ็บจริงๆ ค่ะเจ็บจนทำให้หนูไม่กล้าแม้จะขี้เกียจไม่กล้าเลยค่ะ ไม่กล้าแม้แต่จะแบบไม่กล้าท้อมันหลอนหนูมาก หนูไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อเอาชนะคำดูถูกคำนั้นแต่หนูใช้ชีวิตเพื่อนที่เราจะทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองไปถึงความฝันให้ได้"

จิมมี่ พัชรฎา จบ ม.3 เป็นได้แค่เด็กล้างจาน คำดูถูก เจ็บจนไม่กล้าขี้เกียจ

เด็กสาว 16 ปีจากบ้านหวัง "เปลี่ยนชีวิต"

"หนูอยู่ชายแดนหนูเข็นผัก หนูร้องเพลง หนูรับทำงานบ้าน รับซักเสื้อผ้า ล้างจาน ล้าจานได้วันละ 25 บาท เพื่อเก็บเงินแล้วก็เข้ามาในกรุงเทพ แต่ยายกับตาเขาแอบไปจำนองนา จำนำนาแล้วเขาก็ให้เงินมาก้อนนึงแล้วเขาก็บอกว่าอันนี้คือสิ่งสุดท้ายที่เขาจะให้อนาคตหนูได้ ไปเอาอนาคตนะไปเอาให้ได้ คือเงินที่เปลี่ยนชีวิตเลยค่ะ หนูก็เลยบอกกับตัวเองว่าให้หนูมาก้อนนี้หนูจะคืนให้ได้มากที่สุด"

"หนูนั่งรถไฟแล้วไม่ได้ตีตั๋วนอนไม่ได้ตีตั๋วนั่งด้วยนอนกับพื้นที่ต้องเอาหนังสือพิมพ์แล้วก็เอาวางไว้กับพี่สาวสองคนนั่นแหละค่ะคือจุดเริ่มต้น ตอนนั้นก็มาเป็นพนักงานขายคือเป็นการขายสินค้าของบริษัทและก็จะมีทีมที่ปรึกษาอะไรหลายๆ จำได้ว่าช่วงนั้นนอนแค่วันละ 3-4 ชั่วโมง เพื่อแลกกับเงินเดือนประมาณเดือนละ 9,000-30,000 แล้วแต่ความสามารถหนูก็เลยบอกกับตัวเองเราจะต้องทำให้ได้เดือนละไม่ต่ำกว่า 25,000-30,000 ไม่อย่างนั้นนาจะถูกยึด"

จิมมี่ พัชรฎา จบ ม.3 เป็นได้แค่เด็กล้างจาน คำดูถูก เจ็บจนไม่กล้าขี้เกียจ

มิสแกรนด์ฯ คือ "ความฝัน-ความหวัง"

"การประกวดมิสแกรนด์เป็นความฝันสุดท้าย เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไถที่นา ที่ไร่ สร้างบ้านซื้อรถให้ยายกับตาได้สำเร็จ หนูจะเลือกเดินตามความฝันตัวเองก็คือการเป็นนางงาม มิสแกรนด์เป็นเวทีเดียวที่ไม่ได้เลือกคนที่การศึกษานี่คือโอกาสในชีวิตหนู เวทีนี้คือความหวังจริงๆ เวทีนี้เปิดโอกาสจิมมี่จบ ม.3 ที่นี่เขาไม่ได้วัดว่าเราจบปริญญาตรีอะไร จากสถาบันอะไร จบจากไทยหรือต่างประเทศหรือคุณนามสกุลอะไร"

"แต่เขาเลือกคนที่ความสามารถจริงๆ จิมสู้มา 4 เวที เพื่อที่จิมอยากจะบอกกับทุกคนว่า บางทีคุณอาจจะล้มเหลวเวทีที่ 1 2 3 ถ้าคุณรักที่จะมาเส้นทางนี้ อย่าทิ้งมัน ความไม่สมบูรณ์แบบคือความสมบูรณ์แบบที่สุด จิมอยากจะบอกว่าไม่ว่าใครก็ตามจะทอดทิ้งคุณเอาไว้ สิ่งนึงที่ห้ามทอดทิ้งคือลมหายใจและความฝันของคุณ วันนึงอาจจะล้มเหลวแต่ว่าอย่าหยุด ค่อยๆ เดินก็ได้วันนึงอาจจะถึง วันนึงจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และก็รักตัวเองให้มากๆ สิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับจิมมี่ใช่มั้ยคะก็คือลมหายใจและก็คนที่อยู่เคียงข้างเรา"

จิมมี่ พัชรฎา จบ ม.3 เป็นได้แค่เด็กล้างจาน คำดูถูก เจ็บจนไม่กล้าขี้เกียจ

 

related