ศาลสหรัฐฯ สั่งเบรก “ภาษีทรัมป์” ชี้! ใช้อำนาจเกินขอบเขต รัฐบาลอาจต้องคืนภาษีให้ผู้นำเข้า อำนาจการค้าเป็นของสภา ไม่ใช่ของผู้นำ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ศาลการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ ในนครนิวยอร์กมีคำสั่งระงับการบังคับใช้ “ภาษีทรัมป์” ชุดใหญ่ เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568 โดยวินิจฉัยว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตตามกฎหมาย เพราะรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ มอบอำนาจเรื่องภาษีนำเข้าไว้แต่เพียงผู้แทนราษฎร
คดีนี้ถูกยื่นฟ้องโดยองค์กรกฎหมาย Liberty Justice Center ในนามบริษัทผู้นำเข้าขนาดเล็ก 5 แห่ง พร้อมด้วย 12 มลรัฐที่นำโดยอัยการสูงสุดรัฐออริกอน Dan Rayfield ผู้ฟ้องโต้แย้งว่าภาษีใหม่ที่ทรัมป์ประกาศเมื่อวันที่ 2 เม.ย.ซึ่งรวมถึงภาษีร้อยละ 10 ครอบคลุมสินค้าทั่วโลก และภาษีตอบโต้ที่สูงขึ้นกับจีน แคนาดา และเม็กซิโก เป็นการใช้อำนาจนอกเหนือกรอบกฎหมาย
ศาลพิจารณาว่า IEEPA (กฎหมายให้อำนาจฉุกเฉินทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ) ไม่ให้อำนาจประธานาธิบดีขึ้นภาษีแบบไม่จำกัดทั่วโลก และระบุว่า “การใช้ภาษีเป็นเครื่องต่อรอง ... เป็นสิ่งที่ไม่อนุญาต ไม่ใช่เพราะไร้ประสิทธิภาพ แต่เพราะกฎหมายไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้น”. ด้วยเหตุนี้ ศาลจึงออกคำสั่งห้ามบังคับใช้ทุกคำสั่งขึ้นภาษีที่อ้างอำนาจ IEEPA ของทรัมป์ทันที รัฐบาลทรัมป์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำตัดสินนี้ทันทีหลังศาลอ่านคำพิพากษา
ผู้ประกอบการนำเข้าซึ่งร่วมเป็นโจทก์ในคดีนี้ต่างเห็นด้วยว่าภาษีใหม่จะเพิ่มต้นทุนและสร้างความไม่แน่นอนในการทำธุรกิจ ด้านกลุ่มอัยการของรัฐนิวยอร์กและรัฐอื่นๆ ชื่นชมคำตัดสิน โดยอัยการรัฐนิวยอร์ก Letitia James กล่าวว่า “กฎหมายของเราชัดเจน: ไม่มีประธานาธิบดีคนใดมีอำนาจขึ้นภาษีนำเข้าเพียงลำพังได้” และย้ำว่าการตัดสินครั้งนี้ยืนยันว่ากฎหมายต้องมาก่อน การตัดสินใจทางการค้าไม่อาจทำตามอำเภอใจของประธานาธิบดี ขณะที่โฆษกทำเนียบขาววิจารณ์ว่าศาล “ไม่ใช่หน้าที่ของตุลาการที่มาจากการแต่งตั้งจะมาตัดสินวิกฤตแห่งชาติได้” และระบุว่าจะใช้ทุกช่องทางทางกฎหมายต่อสู้คดี.
คำตัดสินนี้สร้างผลกระทบต่อแนวนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อย่างกว้างขวาง หากมีผลบังคับใช้ต่อไป รัฐบาลอาจต้องคืนภาษีที่เก็บไปแล้วให้กับผู้นำเข้าสินค้า และเป็นการทดสอบสำคัญว่าอำนาจฝ่ายบริหารในการกำหนดภาษีนำเข้าจะอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายหรือไม่ หลังจากมีคดีฟ้องคัดค้านนโยบายภาษีนี้อีกหลายคดีรออยู่
ที่มา REUTERS
ข่าวที่เกี่ยวข้อง