svasdssvasds

ย้อนความเคลื่อนไหว "ฮุน เซน" ท่ามกลางปมพิพาทไทย-กัมพูชา

ย้อนความเคลื่อนไหว "ฮุน เซน" ท่ามกลางปมพิพาทไทย-กัมพูชา

ฮุน เซน เคลื่อนไหวอย่างไร นับตั้งแต่ข้อพิพาทพรมแดน จนถึงการปิดจุดผ่านแดนไทย-กัมพูชา หนึ่งในนั้นคือการเรียกร้องไม่ให้เกิดความเกลียดชังทางเชื้อชาติในระดับพลเรือน

หลังเหตุปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชา ในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568 ซึ่งทางไทยระบุว่า หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี ได้รับการรายงานว่ามีทหารกัมพูชาเข้ามาขุดคูเลตในพื้นที่ดังกล่าว จึงจัดชุดประสานงานไปเจรจา แต่ฝ่ายทหารกัมพูชาเริ่มใช้อาวุธจึงเกิดการโต้ตอบกัน โดยฝ่ายไทยไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ส่วนฝ่ายกัมพูชามีผู้เสียชีวิต 1 นาย

ภายหลังจากนั้นไม่นาน สมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้โพสต์เฟซบุ๊กเพื่อประนามเหตุปะทะที่เกิดขึ้น โดยระบุว่าชายแดนแห่งสันติภาพ มิตรภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนา ไม่ควรมีเหตุการณ์เช่นนี้ และไม่ต้องการเห็นการสู้รบ พร้อมสนับสนุนให้รัฐบาลส่งทหารและอาวุธหนักไปที่ชายแดน เพื่อป้องกันหากเกิดการรุกราน

วันที่ 30 มิถุนายน หลังทั้งสองฝ่ายดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ร่วมกัน โดยทางกองทัพบกของไทยแสดงจุดยืนสนับสนุนการเจรจาด้วยสันติวิธี และผู้บังคับบัญชาทั้งสองฝ่ายตกลงจะถอนกำลังจากจุดปะทะ แต่ฮุน เซน โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ยืนยันจะไม่ถอนทหารออกจากพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต เนื่องจากเป็นดินแดนของกัมพูชา พร้อมให้ศาลโลกตัดสินความถูกต้อง

ย้อนความเคลื่อนไหว \"ฮุน เซน\" ท่ามกลางปมพิพาทไทย-กัมพูชา

ต่อมาเมื่อกองทัพบกของไทย มีคำสั่งให้ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา และ กองกำลังสุรนารี ควบคุมจุดผ่านแดนแนวชายแดนไทย–กัมพูชา จำกัดการผ่านแดนเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น และปรับลดช่วงเวลาในการเปิด–ปิดจุดผ่านแดน ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. ทำให้นักธุรกิจของกัมพูชาไม่พอใจและเรียกร้องให้คว่ำบาตรสินค้าไทยเพื่อตอบโต้

ด้านฮุน เซน ได้ออกมาโพสต์เตือนถึงผลกระทบต่อการตัดสินใจปิดด่าน เนื่องจากการส่งออกของไทยมีมากกว่าสินค้าที่นำเข้าจากกัมพูชา พร้อมบอกชาวกัมพูชาว่า หากเกิดปัญหาเนื่องจากไม่มีสินค้าของไทยวางขาย โปรดอย่าตำหนิรัฐบาลกัมพูชา เพราะการขาดแคลนนี้เป็นผลโดยตรงจากการตัดสินใจของไทยที่จะปิดพรมแดน

วันที่ 13 มิ.ย. ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาได้ตอบโต้ด้วยการประกาศยุติการซื้ออินเทอร์เน็ตและไฟฟ้าจากไทย รวมถึงงดออกอากาศภาพยนตร์ไทย พร้อมทั้งปิดประตูด่าน ฝั่งตรงข้ามจุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี โดยไม่แจ้งล่วงหน้า

ฮุน เซน ได้โพสต์ประกาศแนวทางตอบสนองของรัฐบาลกัมพูชาในกรณีที่ไทยยังไม่ยอมกลับมาเปิดด่าน 6 ข้อ เช่น การระงับการนำเข้าสินค้า, การหาตลาดใหม่สำหรับการส่งออก, การเปลี่ยนเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์, การจัดการโอกาสการจ้างงาน, การเตรียมพร้อมทางทหาร และการเตรียมพร้อมในการอพยพ

อย่างไรก็ตาม เขาเรียกร้องให้ประชาชนชาวกัมพูชากระทำการใดๆ ที่รุนแรงต่อคนไทย บริษัทไทย หรือสถานทูตไทยในประเทศ โดยเน้นย้ำไม่ให้ก่อความเกลียดชังทางเชื้อชาติต่อคนไทย เพราะชาวไทยส่วนใหญ่เป็นคนรักสงบ และมีเพียงกลุ่มหัวรุนแรงบางกลุ่มในกองทัพไทยเท่านั้นที่ต้องรับผิดชอบต่อความตึงเครียดที่เกิดขึ้น

วันที่ 15 มิ.ย. ฮุน เซน ได้โพสต์เปิดเผยถึงบทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างตนเองกับนายกรัฐมนตรีไทย เป็นเวลาทั้งสิ้น 17 นาที 6 วินาที พร้อมเผยแพร่คลิปเสียงที่ได้บันทึกไว้เพื่อความโปร่งใส ซึ่งมีเนื้อหาในการตกลงร่วมกันเพื่อกลับมาเปิดด่านพรมแดน โดยสาเหตุที่ตัดสินใจเผยแพร่ข้อมูลครั้งนี้นั้น ฮุน เซน อ้างว่า เนื่องจากหลังจบการสนทนา ผู้นำไทยได้ออกมากล่าวหาผู้นำกัมพูชาต่อสาธารณชนว่า ดำเนินการเมืองอย่าง “ไม่เป็นมืออาชีพ” ซึ่งถือว่าขัดแย้งกับสิ่งที่เคยพูดคุยกัน

วันที่ 16 มิ.ย. ฮุน เซน ยังเรียกร้องให้แรงงานชาวกัมพูชาในประเทศไทยเดินทางกลับประเทศ โดยระบุว่าข้อพิพาทเรื่องพรมแดน “จะไม่สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ” พร้อมทั้งให้เวลา 24 ชั่วโมงแก่รัฐบาลไทยในการกลับมาเปิดทำการตามปกติที่ชายแดน มิฉะนั้นจะต้องเผชิญกับผลที่ตามมาจากการห้ามนำเข้าผลไม้และผักจากประเทศไทย ซึ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายนเป็นต้นไป

ต่อมาเมื่อ พล.อ.ณัฐพล​ นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย ได้เปิดเผยถึงการตั้งศูนย์เฉพาะกิจสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อจัดการกับความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นตามแนวชายแดน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากโพสต์บนโซเชียลมีเดียประจำวันของอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ทำให้ฮุน เซน เกิดความไม่พอใจต่อความเคลื่อนไหวดังกล่าว

โดยในวันที่ 18 มิ.ย. ฮุน เซน ได้โพสต์ตั้งคำถามว่า เหตุใดรัฐบาลไทยต้องหวาดกลัวบัญชีเฟซบุ๊กของตน เนื่องจากตนเพียงแค่พูดความจริง เพื่ออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศ และการรุกรานอธิปไตยของกัมพูชา ทำไมต้องจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจเพื่อติดตามเฟซบุ๊ก หากฝ่ายไทยเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง?

อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวของสมเด็จ ฮุนเซน ในการโพสต์เฟซบุ๊กเพื่อตอบสนองต่อทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นเหตุการณ์ความตึงเครียดระหว่างประเทศ ไม่เพียงสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทและอิทธิพลระดับสูงที่ยังคงมีต่อเวทีการเมืองกัมพูชา แม้จะลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วก็ตาม ยังแสดงให้เห็นถึงการเลือกใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารโดยตรงกับประชาชน และยังส่งสารถึงประชาคมระหว่างประเทศไปพร้อมกันด้วย