SHORT CUT
จังหวัดพิบูลสงคราม (พ.ศ. 2484-2489): ประวัติศาสตร์ชาตินิยมไทยยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม กรณีพิพาทอินโดจีน การได้ดินแดนคืน และมรดกบาดแผลความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา
การสถาปนา "จังหวัดพิบูลสงคราม" ในปี พ.ศ. 2484 มิใช่เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงเขตการปกครองตามปกติ แต่เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของอุดมการณ์ทางการเมืองและกระแสชาตินิยมที่พุ่งขึ้นสูงสุดในประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ ภายใต้การนำของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม การดำรงอยู่ของจังหวัดนี้ แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เพียง 5 ปี แต่ได้ทิ้งมรดกที่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งและยาวนานต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศกัมพูชา และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์บาดแผลที่ยังคงปรากฏร่องรอยมาจนถึงปัจจุบัน
รากฐานของเหตุการณ์นี้ต้องย้อนกลับไปในยุคล่าอาณานิคม ซึ่งสยามจำต้องเผชิญกับการคุกคามของมหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะฝรั่งเศส นำไปสู่การเสียดินแดนถึง 5 ครั้ง ซึ่งรวมพื้นที่มหาศาลกว่า 467,500 ตารางกิโลเมตร บาดแผลทางประวัติศาสตร์และความรู้สึกสูญเสียอธิปไตยนี้ได้ฝังลึกอยู่ในความทรงจำร่วมของชาติ และได้ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งหลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 เมื่อคณะราษฎร โดยเฉพาะสายทหารที่นำโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก้าวขึ้นสู่อำนาจ รัฐบาลใหม่ได้ใช้อุดมการณ์ "ชาตินิยม" เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความชอบธรรมทางการเมือง สร้างเอกภาพของชาติภายใต้แนวคิดใหม่ และเบี่ยงเบนความจงรักภักดีจากสัญลักษณ์ของระบอบเก่าที่ยึดโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์มาสู่ "ชาติ" และ "รัฐธรรมนูญ"
จังหวะและโอกาสทางการเมืองระหว่างประเทศเปิดช่องให้รัฐบาลไทยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อฝรั่งเศสพ่ายแพ้ต่อกองทัพนาซีเยอรมนีในสมรภูมิยุโรปเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2483 ทำให้สถานะของฝรั่งเศสในอินโดจีนอ่อนแอลงอย่างมาก รัฐบาลจอมพล ป. มองว่านี่คือ "โอกาสทอง" ในการทวงคืนดินแดนที่เสียไปในอดีต ซึ่งนำไปสู่ "กรณีพิพาทอินโดจีน" และการกำเนิดขึ้นของจังหวัดพิบูลสงครามในที่สุด
สงครามอินโดจีนไม่ได้ปะทุขึ้นจากเหตุการณ์เดียว แต่เป็นผลลัพธ์ของกระบวนการที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำเนินการอย่างมีขั้นตอนและเป้าหมายชัดเจน อาจกล่าวได้ว่านี่คือ "สงครามโดยตั้งใจ" (War by Design) ที่ถูกวางแผนขึ้นเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางอุดมการณ์ชาตินิยมและเสริมสร้างเกียรติภูมิของกองทัพ ขั้นตอนต่างๆ ได้ถูกปูทางไว้อย่างเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่ความล้มเหลวทางการทูตที่คาดการณ์ได้ ไปจนถึงการปลุกกระแสมวลชน และใช้การโจมตีของฝรั่งเศสเป็นข้ออ้างอันชอบธรรมในการเปิดฉากสงคราม
กระบวนการเริ่มต้นขึ้นเมื่อรัฐบาลไทยยื่นข้อเสนอ 3 ข้อต่อรัฐบาลฝรั่งเศสเขตวีชีในวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2483 โดยมีข้อเรียกร้องสำคัญคือ 1) ให้ยึดร่องน้ำลึกเป็นเส้นเขตแดนตามธรรมชาติ 2) ขอคืนดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง คือ ไชยบุรีและจำปาศักดิ์ และ 3) ขอให้ฝรั่งเศสรับรองว่าจะคืนลาวและกัมพูชาให้ไทยหากอินโดจีนพ้นจากอธิปไตยของฝรั่งเศส การที่รัฐบาลฝรั่งเศสปฏิเสธข้อเสนอ 2 ข้อหลัง กลายเป็นเชื้อไฟที่รัฐบาลจอมพล ป. นำไปจุดกระแสชาตินิยมในประเทศอย่างได้ผล ผ่านการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ซึ่งนำไปสู่การเดินขบวนครั้งประวัติศาสตร์ของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง พร้อมด้วยประชาชนอีกเรือนหมื่นในวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2483 เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล การแสดงพลังมวลชนครั้งนี้ถูกนำมาใช้สร้าง "ฉันทามติของชาติ" เพื่อรองรับการดำเนินการขั้นต่อไป
เหตุการณ์ที่รัฐบาลรอคอยก็มาถึงในวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 เมื่อเครื่องบินรบฝรั่งเศส 5 ลำ บินล้ำน่านฟ้าเข้ามาทิ้งระเบิดที่จังหวัดนครพนม เหตุการณ์นี้ได้กลายเป็น "เหตุแห่งสงคราม" (casus belli) ที่สมบูรณ์แบบ รัฐบาลไทยประกาศใช้กฎอัยการศึกและเคลื่อนกองทัพที่เตรียมการไว้อย่างดีแล้วเข้าสู่ดินแดนพิพาททันที การสู้รบดำเนินไปทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศ โดยมีการจัดทัพอย่างเป็นระบบทั้งกองทัพบูรพาและกองทัพอีสาน ในขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยได้ดำเนินกลยุทธ์ทางการทูตคู่ขนาน โดยส่งคณะทูตไปเจรจาขอการสนับสนุนจากเยอรมนี ซึ่งเป็นผู้มีชัยเหนือฝรั่งเศสในยุโรป
ท้ายที่สุด สงครามยุติลงด้วยการแทรกแซงของจักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งในขณะนั้นกำลังแผ่อิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ญี่ปุ่นได้เข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยและเสนอให้มีการหยุดยิงในเดือนมกราคม พ.ศ. 2484 การเจรจานำไปสู่การลงนามใน "อนุสัญญาสันติภาพ ณ กรุงโตเกียว" ในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 ซึ่งตามอนุสัญญานี้ ฝรั่งเศสจำต้องยอมยกดินแดนพิพาทส่วนใหญ่ให้แก่ไทย รวมเป็นพื้นที่ประมาณ 79,029 ตารางกิโลเมตรชัยชนะครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ไทยได้ดินแดนคืนสมความตั้งใจ แต่ยังเป็นการประกาศศักดิ์ศรีและความสำเร็จของระบอบผู้นำทหารภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงครามอย่างกึกก้อง
ภายหลังจากได้ดินแดนคืนมาอย่างเป็นทางการ รัฐบาลไทยได้ดำเนินการจัดตั้งหน่วยการปกครองใหม่ขึ้น 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพระตะบอง, จังหวัดนครจัมปาศักดิ์, จังหวัดลานช้าง และจังหวัดที่สะท้อนอุดมการณ์ของยุคสมัยได้ชัดเจนที่สุด คือ "จังหวัดพิบูลสงคราม"
การตั้งชื่อจังหวัดและอำเภอในดินแดนที่ได้มาใหม่นี้ เป็นมากกว่าการจัดระเบียบทางการปกครอง แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้าง "ลัทธิผู้นำ" และตอกย้ำบทบาทของกองทัพในฐานะผู้พิทักษ์ชาติ ชื่อ "พิบูลสงคราม" ที่ตั้งขึ้นเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีโดยตรง คือการสถาปนาตัวผู้นำให้อยู่ในศูนย์กลางของชัยชนะและความภาคภูมิใจของชาติ 3 ยิ่งไปกว่านั้น ชื่ออำเภอต่างๆ ยังถูกตั้งตามนามของนายทหารผู้มีบทบาทสำคัญในสงครามอินโดจีน เป็นการจารึกเกียรติประวัติของกองทัพลงบนแผนที่การปกครองของประเทศ
การกระทำเช่นนี้เปรียบเสมือนการสร้าง "อนุสาวรีย์ที่มีชีวิต" (a living monument) ให้กับระบอบการปกครอง ซึ่งแตกต่างจากอนุสาวรีย์ทั่วไปที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต การตั้งชื่อตามบุคคลที่ยังมีชีวิตและครองอำนาจอยู่ เป็นการเฉลิมฉลองและทำให้อำนาจของระบอบปัจจุบันดูประหนึ่งเป็นสิ่งถาวร ทุกครั้งที่มีการเอ่ยชื่อจังหวัดหรืออำเภอเหล่านี้ในเอกสารราชการหรือในชีวิตประจำวัน มันคือการตอกย้ำถึงความยิ่งใหญ่ของผู้นำและกองทัพในห้วงเวลานั้น เป็นการผูกอำนาจรัฐเข้ากับอัตลักษณ์ของพื้นที่อย่างแนบเนียนและลึกซึ้ง
เพื่อสร้างความชอบธรรมและผนวกดินแดนใหม่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทยอย่างสมบูรณ์ รัฐบาลได้ดำเนินการจัดตั้งโครงสร้างการบริหารและตุลาการอย่างเป็นระบบผ่านกระบวนการทางกฎหมาย มีการตรา "พระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดนครจัมปาศักดิ์ จังหวัดพิบูลสงครามและจังหวัดพระตะบอง พุทธศักราช ๒๔๘๔" ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2484 9 และแต่งตั้งให้ พันตรี พูล มาใช้เวทย์ เป็นข้าหลวงประจำจังหวัดคนแรก
ในด้านอำนาจตุลาการ ได้มีการตรา "พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลจังหวัดลานช้าง ศาลจังหวัดนครจัมปาศักดิ์ ศาลจังหวัดพิบูลสงครามและศาลจังหวัดพระตะบอง พุทธศักราช ๒๔๘๔" ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2484 กำหนดให้ "ศาลจังหวัดพิบูลสงคราม" มีเขตอำนาจตลอดท้องที่ของจังหวัดนอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงเขตการปกครองในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน โดยโอนอำเภอจอมกระสานติ์ไปขึ้นกับจังหวัดนครจัมปาศักดิ์ และรับโอนอำเภอศรีโสภณและอำเภอสินธุสงครามชัยจากจังหวัดพระตะบองมาขึ้นกับจังหวัดพิบูลสงครามแทน ทำให้มีเขตการปกครองรวมทั้งสิ้น 7 อำเภอ
ประชากรส่วนใหญ่ในพื้นที่จังหวัดพิบูลสงครามเป็นชาวเขมรดั้งเดิม หลังจากการผนวกดินแดน ได้เกิดการเคลื่อนย้ายของประชากรไทยจากภูมิภาคอื่นเข้าไปตั้งถิ่นฐานและประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะชาวไทยเชื้อสายจีนจากจังหวัดปราจีนบุรีที่เข้าไปแสวงหาโอกาสใหม่ เนื่องจากดินแดนดังกล่าวมีความอุดมสมบูรณ์ด้านทรัพยากรอาหารและมีค่าครองชีพที่ต่ำกว่า อีกปัจจัยหนึ่งที่ดึงดูดคือ ในช่วงแรกกฎหมายด้านภาษีอากรยังไม่ถูกนำมาบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้การประกอบอาชีพบางอย่างเช่น การประมงและการฆ่าสัตว์เพื่อการค้า ไม่ต้องเสียภาษี
สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ แม้สถานการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 จะสิ้นสุดลงและอนาคตของดินแดนเหล่านี้เริ่มไม่แน่นอน แต่รัฐบาลไทยยังคงเดินหน้าจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ในจังหวัดพิบูลสงครามถึง 2 ครั้งในปี พ.ศ. 2489 คือในวันที่ 6 มกราคม ซึ่งได้นายประยูร อภัยวงศ์ เป็น สส. และการเลือกตั้งเพิ่มเติมในวันที่ 5 สิงหาคม ซึ่งได้ นายญาติ ไหวดี เป็น สส. เพิ่มอีกหนึ่งคน การกระทำนี้อาจไม่ใช่เพียงกระบวนการทางประชาธิปไตย แต่เป็นการแสดงออกซึ่งอธิปไตย (an act of sovereignty) และเป็นความพยายามสร้าง "ความจริงทางกฎหมาย" (legal fact) ในนาทีสุดท้าย เพื่อใช้เป็นข้อต่อรองทางการทูตกับฝ่ายสัมพันธมิตรว่า การปกครองของไทยในดินแดนนี้มีความชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตยและได้รับการยอมรับจากประชาชนในพื้นที่ ไม่ใช่เพียงการยึดครองด้วยกำลังทหาร อย่างไรก็ตาม ความพยายามนี้ไม่ประสบผลสำเร็จในท้ายที่สุด
การดำรงอยู่ของจังหวัดพิบูลสงครามผูกติดอยู่กับชะตากรรมของฝ่ายอักษะในสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างแยกไม่ออก เมื่อสงครามสิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของจักรวรรดิญี่ปุ่น ชะตากรรมของดินแดนที่ไทยได้มาก็ถึงจุดสิ้นสุดเช่นกัน
ความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นทำให้สถานะทางกฎหมายของอนุสัญญาโตเกียว พ.ศ. 2484 ซึ่งเป็นพื้นฐานของการได้ดินแดนคืนของไทย ต้องสิ้นสุดลงโดยปริยาย รัฐบาลฝรั่งเศสซึ่งเป็นหนึ่งในฝ่ายผู้ชนะสงคราม ได้ประกาศไม่ยอมรับอนุสัญญาดังกล่าวมาโดยตลอดและถือว่าเป็นโมฆะ ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศหลังสงคราม ไทยตกอยู่ในสถานะของผู้แพ้สงครามและเผชิญกับแรงกดดันทางการทูตอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะจากฝรั่งเศสและอังกฤษ
แรงกดดันที่รุนแรงที่สุดคือการที่ฝรั่งเศสขู่ว่าจะใช้สิทธิยับยั้ง (veto) การสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ (UN) ของไทย หากไทยไม่ยอมคืนดินแดนที่ได้มาทั้งหมดกลับสู่สถานะเดิมก่อนเกิดกรณีพิพาท การคุกคามนี้ทำให้รัฐบาลไทยในขณะนั้นไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องยอมเข้าสู่โต๊ะเจรจาเพื่อคืนดินแดน แลกกับการฟื้นฟูสถานะของประเทศในประชาคมโลก
จุดสิ้นสุดอย่างเป็นทางการของจังหวัดพิบูลสงครามมาถึงพร้อมกับการลงนามใน "ความตกลงระงับกรณีระหว่างประเทศไทยกับฝรั่งเศส" (Franco-Thai Settlement Agreement) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ข้อตกลงวอชิงตัน" ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489
สาระสำคัญของความตกลงนี้คือการประกาศให้ "อนุสัญญาโตเกียว พ.ศ. 2484 เป็นโมฆะ" และให้สถานะของเขตแดนระหว่างไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศสกลับคืนไปสู่สภาวะเดิมก่อนเกิดสงคราม ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ ประเทศไทยจำต้องส่งมอบดินแดนทั้งหมดที่ได้มาคืนให้แก่อินโดจีนฝรั่งเศส ซึ่งประกอบด้วยพื้นที่ของจังหวัดพิบูลสงคราม จังหวัดพระตะบอง จังหวัดนครจัมปาศักดิ์ และจังหวัดลานช้าง การคืนดินแดนครั้งนี้ทำให้เขตอำนาจการปกครองของไทยเหนือพื้นที่ดังกล่าวสิ้นสุดลงโดยอัตโนมัติ จึงไม่มีการตรากฎหมายภายใน เช่น พระราชกฤษฎีกายุบจังหวัด ออกมาเป็นการเฉพาะ เพราะสถานะทางกฎหมายของจังหวัดได้หมดสิ้นไปพร้อมกับการสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนนั้นตามข้อตกลงระหว่างประเทศ
แม้จังหวัดพิบูลสงครามจะมีอายุเพียง 5 ปี แต่ได้ทิ้งมรดกที่ซับซ้อนและยาวนานไว้เบื้องหลัง ผลกระทบที่สำคัญที่สุดมิใช่การเปลี่ยนแปลงแผนที่ชั่วคราว แต่คือการเป็นชนวนของความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ และการสร้างวาทกรรมทางประวัติศาสตร์ที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชามาจนถึงทุกวันนี้ อาจกล่าวได้ว่า การสถาปนาจังหวัดพิบูลสงครามคือ "บาปกำเนิด" (Original Sin) ของข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาในยุคสมัยใหม่
ก่อนปี พ.ศ. 2484 ข้อพิพาทเรื่องเขตแดนเป็นประเด็นระหว่างสยามกับมหาอำนาจอาณานิคมอย่างฝรั่งเศส แต่การสถาปนาจังหวัดพิบูลสงครามและการโฆษณาชวนเชื่ออย่างกว้างขวางถึงการ "ได้ดินแดนคืน" โดยเฉพาะการประทับภาพ "ปราสาทเขาพระวิหาร" ในฐานะโบราณสถานสำคัญของชาติที่ไทยได้กลับคืนมา ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของความขัดแย้งไปอย่างสิ้นเชิง มันได้แปรรูปข้อพิพาทจากเรื่องเขตแดนทางเทคนิคให้กลายเป็น "เรื่องของอธิปไตยทางวัฒนธรรมและศักดิ์ศรีของชาติ" สำหรับทั้งสองประเทศ
มรดกที่ชัดเจนที่สุดคือการจุดชนวน "กรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร" แม้ไทยจะต้องคืนดินแดนทั้งหมดไปในปี พ.ศ. 2489 แต่แนวคิดเรื่อง "การทวงคืนดินแดน" ที่ถูกปลูกฝังในยุคนี้ยังคงอยู่ และได้แสดงผลอีกครั้งเมื่อรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในสมัยที่สอง ได้ส่งกำลังทหารกลับเข้าไปยึดครองปราสาทพระวิหารในปี พ.ศ. 2497 การกระทำดังกล่าว ซึ่งสืบเนื่องโดยตรงจากอุดมการณ์ในยุคจังหวัดพิบูลสงคราม ได้นำไปสู่การยื่นฟ้องของกัมพูชาต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี พ.ศ. 2502 และกลายเป็นปมขัดแย้งระดับนานาชาติในที่สุด ในฝั่งไทย วาทกรรม "การได้ดินแดนคืน" ได้สร้างความทรงจำและความเข้าใจในหมู่ประชาชนว่าดินแดนเหล่านั้น โดยเฉพาะปราสาทพระวิหาร เป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของไทย ซึ่งกลายเป็นเชื้อไฟของกระแสชาตินิยมที่ถูกจุดขึ้นมาใหม่ได้เสมอในเวลาต่อมา ในทางกลับกัน สำหรับกัมพูชา เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นอีกหนึ่งบทของการรุกรานจากสยาม ตอกย้ำความรู้สึกไม่ไว้วางใจที่มีรากฐานมายาวนาน และสร้างประวัติศาสตร์บาดแผลที่ส่งผลต่อมุมมองที่พวกเขามีต่อประเทศไทย ดังนั้น การดำรงอยู่ของจังหวัดพิบูลสงคราม แม้จะจบสิ้นไปแล้ว แต่ได้ก่อกำเนิดมรดกแห่งความขัดแย้งที่เปลี่ยนผ่านจากข้อพิพาทกับเจ้าอาณานิคม มาเป็นความขัดแย้งทางอารมณ์และศักดิ์ศรีระหว่างสองชาติเพื่อนบ้านโดยตรง ซึ่งยังคงเป็นประเด็นอ่อนไหวในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมาจนถึงปัจจุบัน
อ้างอิง
สงครามอินโดจีน / Nation / LueHistory / SilpaMag / Thai / ราชกิจ / KPI / ISE / 101 / Chula / KPI1 / KPI2 / มูลนิธิ / SilpaMag2 / SO /