svasdssvasds

Trade War : จากสงครามฝิ่นสู่กำแพงภาษี เมื่อ 'การค้า' ถูกใช้เป็น 'อาวุธ'

Trade War : จากสงครามฝิ่นสู่กำแพงภาษี เมื่อ 'การค้า' ถูกใช้เป็น 'อาวุธ'

เรียนรู้ ประวัติศาสตร์ สงครามการค้า หรือ Trade War ในอดีต มาถึง การตั้งกำแพงภาษีครั้งล่าสุดของโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ

จากประวัติศาสตร์ สงครามการค้า หรือ Trade War ในอดีต มาถึง การตั้งกำแพงภาษีครั้งล่าสุดของโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ที่เพิ่งประกาศภาษีนำเข้าสินค้าอัตราใหม่ 14 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งโดนภาษี 36 %  มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2568  เรามาเรียนรู้จุดเริ่มต้นจากอดีต จนมาถึงปัจจุบัน 

 

การที่ชาติมหาอำนาจใช้ "การค้า" เป็นเครื่องมือหรือ "อาวุธ" เพื่อบรรลุเป้าหมายทางภูมิรัฐศาสตร์นั้น ไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ของศตวรรษที่ 21 แต่เป็นกลยุทธ์ที่หยั่งรากลึกในหน้าประวัติศาสตร์โลกมานานหลายร้อยปี การทำความเข้าใจวิวัฒนาการของสงครามการค้านับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จะช่วยให้เรามองเห็นภาพความขัดแย้งทางเศรษฐกิจในยุคของเราได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

รากเหง้าแห่งความขัดแย้ง: เมื่อผลประโยชน์ทางการค้าอยู่เหนือสิ่งอื่นใด 

จุดเริ่มต้นของสงครามการค้าในอดีต มักมีรากฐานมาจากแนวคิด "ลัทธิคุ้มครอง" (Protectionism) ซึ่งเป็นความพยายามของรัฐบาลในการปกป้องอุตสาหกรรมและผลประโยชน์ของชาติ โดยไม่ลังเลที่จะใช้มาตรการกีดกันทางการค้าเป็นเครื่องมือ

Trade War : จากสงครามฝิ่นสู่กำแพงภาษี เมื่อ \'การค้า\' ถูกใช้เป็น \'อาวุธ\'
 

ศตวรรษที่ 17: สงครามกฎหมายการค้า 

ในยุคที่อังกฤษและดัตช์กำลังขับเคี่ยวกันเพื่อเป็นเจ้าแห่งการค้าทางทะเล อังกฤษได้ออก "พระราชบัญญัติการเดินเรือ" (Navigation Acts) ในปี ค.ศ. 1651 กฎหมายฉบับนี้มีเป้าหมายชัดเจนคือการทำลายบทบาทพ่อค้าคนกลางของชาวดัตช์ โดยบังคับให้การขนส่งสินค้ามายังอังกฤษต้องใช้เรือของอังกฤษเป็นหลัก นี่คือตัวอย่างของการใช้ "กฎหมาย" เป็นอาวุธทางการค้าโดยตรง ซึ่งนำไปสู่ สงครามแองโกล-ดัตช์ ที่รบพุ่งกันหลายครั้ง

ศตวรรษที่ 19: สงครามที่ขับเคลื่อนด้วยยาเสพติด

สงครามฝิ่น ถือเป็นจุดด่างพร้อยในประวัติศาสตร์การค้าโลก เมื่ออังกฤษพยายามแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้ามหาศาลกับจีนด้วยการลักลอบนำ "ฝิ่น" เข้าไปขาย จนสร้างปัญหาสังคมและเศรษฐกิจอย่างรุนแรง เมื่อทางการจีนตอบโต้ด้วยการยึดและทำลายฝิ่น อังกฤษก็ใช้กำลังทหารเข้าบีบบังคับเพื่อปกป้อง "สิทธิ" ในการค้าของตนเอง แสดงให้เห็นว่าการค้าสามารถบานปลายไปสู่สงครามที่ใช้กำลังจริงได้

ศตวรรษที่ 20 : หายนะจากกำแพงภาษี

บทเรียนที่โลกควรจดจำที่สุดคือ รัฐบัญญัติภาษีศุลกากรสมูท-ฮอว์ลีย์ ของสหรัฐฯ ในปี ค.ศ. 1930 ซึ่งขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากว่า 20,000 รายการในอัตราที่สูงลิ่ว เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศจากผลพวงของสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ผลลัพธ์กลับเลวร้ายกว่าที่คาดคิด เมื่อนานาประเทศทั่วโลกตอบโต้ด้วยการตั้งกำแพงภาษีเช่นกัน ส่งผลให้การค้าโลกหดตัวอย่างรุนแรง และถูกมองว่าเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ซ้ำเติมวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression)

รูปแบบสงครามการค้าในปัจจุบัน : สมรภูมิที่ซับซ้อนกว่าเดิม

เมื่อมาถึงศตวรรษที่ 21 สงครามการค้าได้วิวัฒนาการไปสู่รูปแบบที่ซับซ้อนและแผ่ขยายผลกระทบในวงกว้างกว่าที่เคย โดยมีกรณีของ สหรัฐอเมริกาและจีน เป็นกรณีศึกษาที่สำคัญที่สุด

แม้ชนวนเหตุจะฟังดูคล้ายคลึงกับในอดีต เช่น ข้อกล่าวหาเรื่องการขาดดุลการค้า การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา และการแข่งขันทางอุตสาหกรรมผ่านนโยบาย "Made in China 2025" แต่สนามรบในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปแล้ว

จากกำแพงภาษีสู่สงครามเทคโนโลยี: ความขัดแย้งไม่ได้จำกัดอยู่แค่การตั้งกำแพงภาษีสินค้าเกษตรหรือสินค้าอุปโภคบริโภคอีกต่อไป แต่ได้ลุกลามไปสู่ "สงครามเทคโนโลยี" (Tech War) ซึ่งมีเดิมพันคือการควบคุมเทคโนโลยีแห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็น เซมิคอนดักเตอร์, ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือเครือข่าย 5G การกีดกันบริษัทเทคโนโลยีจึงกลายเป็นอาวุธชิ้นสำคัญ

ห่วงโซ่อุปทานโลกคือสนามรบ

ในโลกที่เศรษฐกิจเชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ การใช้มาตรการกีดกันทางการค้าส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) ทำให้เกิดความผันผวนทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงและรวดเร็วกว่าในอดีต

ภูมิรัฐศาสตร์เป็นตัวกำหนด: การตัดสินใจทางการค้าในปัจจุบัน ถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคงแห่งชาติมากขึ้น การประกาศปรับขึ้นภาษีระลอกล่าสุดของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีผลต่อ 14 ประเทศในวันที่ 1 สิงหาคมที่จะถึงนี้ คือตัวอย่างที่ชัดเจน ว่าแม้แต่ประเทศพันธมิตรก็อาจตกเป็นเป้าหมายได้ หากนโยบายถูกมองว่าขัดต่อผลประโยชน์ของชาติ

โดยล่าสุด ภาษีใหม่นี้บางประเทศลดลงหรือเพิ่มขึ้นจากอัตราเดิมที่สหรัฐอเมริกาได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2568 

สำหรับ 14 ประเทศมีดังนี้  

ลาว 40% (ลดลง 8% จากเดิม 48%)
เมียนมา 40% (ลดลง 4% จากเดิม 44%)
กัมพูชา 36 % (ลดลง13% จากเดิม 49%)
ไทย 36% (คงเดิม)
บังกลาเทศ 35% (ลดลง 2% จากเดิม 37%
เซอร์เบียร์ 35% (ลดลง 2% จากเดิม 37%)
อินโดนีเซีย 32% (คงเดิม)
บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา 30% (ลดลง 5% จากเดิม 35%)
แอฟริกาใต้ 30 % (คงเดิม)
ญี่ปุ่น 25 % (เพิ่มขึ้น 1 % จากเดิม 24 %)
คาซัคสถาน 25 % (ลดลง 2% จากเดิม 37%)
มาเลเซีย 25 % (เพิ่มขึ้น 1% จากเดิม 24%)
เกาหลีใต้ 25 % (คงเดิม)
ตูนีเซีย 25 % (ลดลง 3% จากเดิม 28%)

จากภาพที่สะท้อนออกมา ณ เวลานี้ จะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง , จากเรือใบในศตวรรษที่ 17 สู่ชิปเซมิคอนดักเตอร์ในศตวรรษที่ 21 รูปแบบของ "อาวุธ" อาจเปลี่ยนไป แต่แก่นแท้ของสงครามการค้ายังคงเหมือนเดิม นั่นคือการช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระหว่างชาติมหาอำนาจ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วมักจะทิ้งร่องรอยความเสียหายไว้กับเศรษฐกิจโลกและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนเสมอ

Trade War : จากสงครามฝิ่นสู่กำแพงภาษี เมื่อ \'การค้า\' ถูกใช้เป็น \'อาวุธ\'

ที่มา : britannica investopedia  asiapacificcurriculum

related