สหรัฐฯ กำหนดภาษีนำเข้าสินค้าไทย 19% ลดจาก 36% ก่อนหน้านี้ ขณะที่ กัมพูชา และ มาเลเซีย ได้ 19 เปอร์เซนต์ เท่ากับไทย
ทำเนียบขาวได้ประกาศการปรับอัตราภาษีตอบโต้ทางการค้า (Retaliatory Tariffs) ครั้งใหญ่ต่อหลายสิบประเทศทั่วโลก โดยกำหนดอัตราภาษีสำหรับสินค้าที่นำเข้าจากประเทศไทยไว้ที่ 19% การประกาศดังกล่าวมีขึ้นผ่านเว็บไซต์ทำเนียบขาวในคืนวันที่ 31 กรกฎาคม 2025 (ตามเวลาท้องถิ่น) เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่มาตรการจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม
ภายใต้โครงสร้างภาษีใหม่ ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับกัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งทั้งหมดจะถูกเก็บภาษีในอัตรา 19% เท่ากัน
สำหรับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียนเผชิญกับอัตราภาษีที่แตกต่างกันออกไป เวียดนามถูกกำหนดไว้ที่ 20%, บรูไน 25% ส่วนลาวและเมียนมาเผชิญกับกำแพงภาษีในอัตราสูงถึง 40% ขณะที่สิงคโปร์ไม่ปรากฏในตารางภาษีตอบโต้ชุดใหม่นี้ โดยก่อนหน้านี้สหรัฐฯ ระบุว่าจะยังคงเก็บภาษีพื้นฐานจากสิงคโปร์ในอัตรา 10% เท่านั้น
ประเทศที่ถูกเก็บภาษีในอัตราสูงสุดในการประกาศครั้งนี้คือซีเรีย ที่อัตรา 41%
อาเซียน
• ไทย 19%
• กัมพูชา 19%
• มาเลเซีย 19%
• อินโดนีเซีย 19%
• เวียดนาม 20%
• เมียนมา 40% (รองสูงสุด)
• ลาว 40% (รองสูงสุด)
.
ภูมิภาคอื่น
• ญี่ปุ่น 15%
• ไต้หวัน 20%
• อินเดีย 25%
• สวิสฯ 39%
• ซีเรีย 41% (สูงสุด)
ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศความคืบหน้าทางการค้ากับสองชาติมหาอำนาจแห่งเอเชีย
เกาหลีใต้ บรรลุข้อตกลงการค้าฉบับสมบูรณ์กับสหรัฐฯ ส่งผลให้อัตราภาษีลดลงเหลือ 15% จากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 25% โดยประธานาธิบดีทรัมป์เปิดเผยผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ว่า ข้อตกลงดังกล่าวแลกกับการที่เกาหลีใต้จะเข้ามาลงทุนในสหรัฐฯ เป็นมูลค่า 350,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และสั่งซื้อก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) รวมถึงผลิตภัณฑ์พลังงานอื่น ๆ อีก 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ทรัมป์ยังระบุว่าเกาหลีใต้จะเปิดตลาด "อย่างสมบูรณ์" ให้กับสินค้ายานยนต์และเกษตรกรรมของสหรัฐฯ โดยไม่เก็บภาษีนำเข้า
ส่วน อินเดีย ถูกกำหนดอัตราภาษีไว้ที่ 25% พร้อมคำขู่จากผู้นำสหรัฐฯ ว่าอาจมีมาตรการลงโทษเพิ่มเติม หากอินเดียยังคงซื้อพลังงานจากรัสเซียต่อไป ทรัมป์ให้เหตุผลว่าอินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราภาษีนำเข้าสูงที่สุดในโลกและมีอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) ที่ซับซ้อน
กระทรวงพาณิชย์อินเดียได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ โดยยืนยันว่าจะยึดมั่นในการเจรจาเพื่อข้อตกลงที่ "ยุติธรรม สมดุล และเป็นประโยชน์ร่วมกัน" และจะดำเนินทุกวิถีทางเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกรและผู้ประกอบการในประเทศ
นอกเหนือจากการปรับอัตราภาษีรายประเทศ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้ลงนามคำสั่งบริหารเพื่อเรียกเก็บภาษีนำเข้า ทองแดง จากทุกประเทศทั่วโลกในอัตราสูงถึง 50% ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับที่เคยใช้กับเหล็กและอะลูมิเนียมก่อนหน้านี้
ทำเนียบขาวระบุว่ามาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการปกป้องและสนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่าการขึ้นภาษีทองแดงอย่างกะทันหันจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง เนื่องจากทองแดงเป็นส่วนประกอบสำคัญในสินค้าหลายประเภท ตั้งแต่วัสดุก่อสร้าง สายไฟฟ้า ไปจนถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตและราคาสินค้าสำหรับผู้บริโภคปรับตัวสูงขึ้นในที่สุด
ข้อมูลจากสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ (U.S. Geological Survey) ระบุว่า สหรัฐฯ นำเข้าทองแดงเกือบครึ่งหนึ่งของปริมาณการใช้ในประเทศ โดยมีชิลีเป็นแหล่งนำเข้าที่ใหญ่ที่สุด
ที่มา : whitehouse.gov
ข่าวที่เกี่ยวข้อง