SHORT CUT
รองนายกฯ ชี้ ไทยจะไม่เสียเปรียบ ผู้บริโภคต้องได้ประโยชน์ จากเงื่อนไขการเจรจา "ภาษีทรัมป์" ที่ประกาศเก็บภาษีสินค้าไทยในอัตรา 19% ยืนยันไทยแข่งขันได้ ฃ
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยทิศทางของไทย หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศตัวเลขภาษีนำเข้าสินค้าไทยในอัตรา 19% โดยยืนยันว่า หากเทียบกับคู่แข่งที่โดนภาษีเท่าๆ กันแล้ว ไทยยังอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ แต่หากสหรัฐฯ ตรวจพบว่ามีสินค้าที่เข้าข่ายสวมสิทธิ์ ก็จะโดนคิดอัตราภาษี 40% ซึ่งจะหามาตรการป้องกันต่อไป
ส่วนข้อเสนอที่ใช้ในการเจรจานั้น ยืนยันว่าไทยไม่ได้เปิดเสรีนำเข้าสินค้าให้สหรัฐฯ ในอัตรา 0% ทุกรายการ ส่วนใหญ่เป็นข้อเสนอนำเข้าสินค้าที่ไทยไม่มีหรือไม่ผลิตเอง ซึ่งผลประโยชน์จะตกอยู่กับผู้บริโภค ส่วนบางรายการสินค้าที่มีผลิตในประเทศ เราได้ขอยืดระยะเวลาในการลดภาษี เพื่อให้ผู้ประกอบการในประเทศปรับตัวก่อนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันที่อัตราภาษีจะเป็น 0%
คุ้มครองเกษตรกร คุมสินค้าเกษตรอย่างเข้มงวด
ไทยยืนยันคุ้มครองเกษตรกรอย่างเข้มงวด เช่น การนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ จะเปิดรับที่สัดส่วนเล็กน้อย ไม่ถึง 1% ของการบริโภค เพื่อไม่ให้กระทบต่อเกษตรกรจำนวนมาก พร้อมกำหนดมาตรการเข้มข้น เช่น ห้ามนำเข้าเครื่องในและตรวจสารเร่งเนื้อแดง
อย่างไรก็ตาม ไทยจะเปิดรับสินค้าบางรายการที่ปริมาณการผลิตในประเทศไม่เพียงพอ เช่น ข้าวโพด ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตแก่ภาคอุตสาหกรรมได้ ซึ่งรัฐจะยังคุ้มครองเกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดในไทย โดยกำหนดให้มีการซื้อสินค้าไทยก่อน ซึ่งมี 5 ล้านตัน
สหรัฐฯ เน้นให้ไทยนำเข้า 'ก๊าซธรรมชาติ'
นายพิชัยเปิดเผยด้วยว่า สิ่งที่สหรัฐฯ อยากให้ไทยนำเข้าคือพลังงานและปิโตเคมี โดยในปี 2569 เราได้เซ็นสัญญาเริ่มนำเข้าก๊าซธรรมชาติ 1 ล้านตัน จากทั้งหมด 15 ล้านตัน ซึ่งจะทำให้ค่าไฟฟ้าในไทยถูกลง และไทยยังพิจารณานำเข้าน้ำมันจากสหรัฐเพิ่มขึ้น 10%
นอกจากนี้การบินไทยยังมีแผนแผนจัดซื้อเครื่องบินใหม่ประมาณ 100 ลำ ภายใน 5–10 ปี เพื่อเสริมศักยภาพการเดินทางและกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะเน้นซื้อจากสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องบินขนาดเล็ก
มาตรการป้องกัน 'สินค้าสวมสิทธิ์'
หนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อการเจรจาอย่างมากคือปัญหา 'สินค้าสวมสิทธิ์' ที่มาจากประเทศอื่น หรือมีสัดส่วนผลิตในไทยต่ำ จึงนับว่าไม่ใช่สินค้าของไทยจริงๆ และสหรัฐฯ ไม่ต้องการเห็นสถานการณ์นี้ โดยหากมีสินค้าที่เข้าเกณฑ์สวมสิทธิ จะถูกเก็บภาษี 40% ซึ่งไทยจะเร่งหามาตรการป้องกันและแก้ไขอย่างจริงจัง
เตรียมซอตฟ์โลน ช่วยเหลือผู้ประกอบการ
รัฐบาลยังได้เตรียมมาตรการดูแลผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีสหรัฐ เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) ที่จะช่วยดูแลด้านต้นทุนสินค้า โดยได้อนุมัติวงเงินเข้ากองทุน 1 หมื่นล้านบาท และมอบหมายให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ทำหน้าที่เก็บข้อมูลกลุ่มผู้ประกอบการที่ต้องการความช่วยเหลือด้วย
ส่วนการแก้ปัญหาในระยะยาว จะมีการปรับใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อดึงดูดนักลงทุนเพิ่มขึ้น เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในระยะยาว และสร้างสมดุลให้ทุกภาคส่วน ทั้งผู้บริโภค เกษตรกร และผู้ผลิต