กยท. เดินหน้าพันธกิจเร่งขับเคลื่อนรักษาเสถียรภาพราคา ‘ยางพาราไทย’ เพิ่มรายได้ให้เกษตรกรไทยสู่ความยั่งยืน
ยางพารา นับได้ว่าเป็นพืชที่สร้างรายได้หลักให้กับประเทศและเกษตรกร โดยประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางธรรมชาติอันดับต้นๆของโลกมาอย่างยาวนาน ผลผลิตยางดิบ ผลิตภัณฑ์ยาง และไม้ยางพาราสร้างมูลค่าการส่งออกจำนวนมากในแต่ละปี โดยน้ำยางพาราเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตผลิตภัณฑ์ยางหลากหลายชนิด เช่น ยางรถยนต์ ถุงมือยางทางการแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ เครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มอื่นๆ ซึ่งเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรมมากมาย
ในไทยการปลูกยางพาราช่วยกระจายรายได้ไปสู่เกษตรกรชาวสวนยางทั่วประเทศ โดยเฉพาะในภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีพื้นที่ปลูกยางพาราเป็นจำนวนมาก ยางพาราเป็นพืชที่ให้ผลผลิตค่อนข้างสม่ำเสมอ ทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่แน่นอนและต่อเนื่อง แม้ราคาจะมีความผันผวนบ้างตามกลไกตลาดโลก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างเช่น การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ต้องเร่งขับเคลื่อนรักษาเสถียรภาพราคา ‘ยางพาราไทย’ เพิ่มรายได้เกษตรกร
#SPRiNG สัมภาษณ์พิเศษ ‘ดร.เพิก เลิศวังพง’ ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย รักษาการแทนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย ในหลากหลายประเทศเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยางพาราไทย ในปี2568 สถานการณ์ราคายางพาราไทยในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ "พอรับได้" ซึ่งไม่ได้ตกต่ำเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ทั้งนี้แม้ราคาจะลดลงจากปีที่ผ่านมาไปบ้าง ซึ่งปีที่ผ่านมาได้ทำราคาสูงสุดไปที่ 100 บาทต่อกิโลกรัม แต่ในปี2568 นี้ก็ยังคงรักษาระดับราคาที่ดีไว้ได้เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก
ซึ่งปัจจุบันราคาเฉลี่ยของยางก้อนถ้วยอยู่ที่ประมาณ 30 บาท บวกลบ และยางแผ่นรมควันอยู่ที่ 68 บาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ตั้งแต่แรกเข้ารับตำแหน่ง โดย กยท.ได้มีนโยบายที่ชัดเจนว่าจะไม่แทรกแซงราคายางพารา และจะไม่ชดเชยรายได้เหมือนในอดีตที่เคยทำมาใช้งบประมาณไปกว่า 150,000 ล้านบาท ในรอบ 10 ปี ซึ่งก็ไม่เห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น และล่าสุด กยท. เลือกใช้กลยุทธ์อื่นๆ ที่ไม่ใช้งบประมาณของรัฐ แต่สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งไปถึงมือเกษตรกรโดยตรง
ทั้งนี้กลยุทธ์ต่างๆ ที่ กยท. ใช้มีดังนี้
อย่างไรก็ตามแม้ว่าอำนาจเบ็ดเสร็จจะไม่ได้อยู่ที่ กยท. เพียงหน่วยงานเดียว แต่ได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นเพื่อสกัดกั้นยางพาราเถื่อนที่เข้ามาในประเทศ ซึ่งมีประมาณ 300,000 ตันต่อปี (ไม่ถึง 10% ของผลผลิตทั้งหมด 5 ล้านตัน) โดยการปราบปรามยางพาราเถื่อนมีความสำคัญเพราะยางพาราเถื่อนมักถูกนำมาอ้างอิงเพื่อกดราคา และมีคุณภาพต่ำกว่ายางไทย
นอกจากนี้ยังเร่งพัฒนาตลาดที่มีการซื้อขายจริง 600 ตลาด โดยเน้นเรื่องคุณภาพยาง เช่น การแนะนำให้ใช้กรดฟอร์มิก (Formic Acid) ในการผลิตยางเพื่อให้ได้ยางที่มีคุณภาพเป็นที่ต้องการของโรงงาน
แสวงหานวัตกรรมที่สามารถดึงปริมาณยางไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆได้ นอกเหนือจากยางล้อ ถุงมือ หมอน เช่น การผลิตท่อส่งน้ำยางพาราสำหรับระบบบริหารจัดการน้ำในภาคการเกษตร ซึ่งจะดึงปริมาณยางจากอุตสาหกรรมยางล้อมาใช้ทำให้ราคายางพาราจะขยับสูงขึ้น และมีตลาดที่มีศักยภาพสูงถึงแสนล้านบาทต่อปี โดย กยท. กำลังจับมือกับกรมชลประทาน และบริษัทเอกชนหลายแห่งเพื่อผลักดันโครงการนี้อยู่ แลพยังมีโครงการและแนวทางส่งเสริมเกษตรกร โดย กยท. จะมุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจ และเสริมสร้างอำนาจต่อรองให้กับเกษตรกรผ่านโครงการต่าง ๆ
โครงการนี้เป็นโครงการที่เริ่มมาตั้งแต่ปี2551 โดยสนับสนุนเงินทุนให้เกษตรกรสามารถชะลอการขายยางพาราออกสู่ตลาดได้ ทำให้เกษตรกรมีอำนาจต่อรอง ไม่ต้องรีบขายในราคาที่ถูกกดดัน และ กยท.ได้เพิ่มงบประมาณสำหรับโครงการนี้จาก 400 ล้านบาท (เดิม) เป็น 1,200 ล้านบาทในปี2567 ที่ผ่านมา และ 3,000 ล้านบาทในปี2568 นี้ สำหรับโครงการการชะลอยางช่วยให้สามารถขายยางได้ใน "วันที่เหมาะสม" และป้องกันการกดราคาจากผู้ซื้อ
อย่างไรก็ตาม กยท. ได้นำ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ปริมาณผลผลิต การใช้ และการเก็บสต็อกยางราคาเพื่อให้สามารถบริหารจัดการการชะลอยางได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตอบสนองต่อสถานการณ์ตลาด
โดย กยท. จะส่งเสริมให้เกษตรกรลดต้นทุนการผลิตโดยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น น้ำหมักปลาหมอคางดำ ซึ่งสามารถลดต้นทุนปุ๋ยเคมีได้กว่า 400 บาทต่อลิตร และช่วยให้ยางพาราเป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก ซึ่งบริษัทในยุโรปพร้อมให้ราคาที่สูงขึ้นถึง 6 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับยางพาราที่มีการผลิตแบบออร์แกนิก กยท. มีแผนที่จะขยายผลในการใช้น้ำหมักปลาหมอคางดำไปยังพืชชนิดอื่นๆด้วย
เร่งยกระดับมาตรฐานยางพาราสู่ตลาดโลก
กยท. ยังคงมุ่งเน้นการสร้างคุณภาพ และมาตรฐาน ยางพาราไทยให้เหนือกว่าคู่แข่งในตลาดโลก โดยเฉพาะในเรื่องมาตรฐานสินค้าเกษตรให้ยางพาราไทยมีมาตรฐานสูงกว่าประเทศอื่นๆ เป็นที่ยอมรับในระดับโลก การตรวจสอบย้อนกลับ ( EUDR - EU Deforestation Regulation ) และเดินหน้าเรื่องโฉนดต้นยางพาราเพื่อรองรับกฎหมาย EUDR ที่ต้องการให้สินค้าเกษตรสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่าไม่ได้มาจากการบุกรุกป่า ทำให้ยางพาราไทยมีภาพลักษณ์ที่ดี และสามารถส่งออกไปยังยุโรปได้
อีกทั้งยังยังต้องเดินหน้าในเรื่องของคาร์บอนเครดิต และ Low Carbon Product ซึ่ง กยท. ได้ออกระเบียบ และประกาศเรื่องการซื้อขายคาร์บอนเครดิตจากสวนยางพารา 22 ล้านไร่ทั่วประเทศ ซึ่งมีศักยภาพในการดูดซับคาร์บอนสูงถึง 66 ล้านตันต่อปี
กยท. เรามองตัวเองเป็นองค์กรพี่เลี้ยงที่ดูแลเกษตรกรชาวสวนยาง 1.6 ล้านครัวเรือน คนเกือบ 10 ล้านคน เน้นการสร้างประโยชน์ให้กับคนส่วนใหญ่ เชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของราคายางเพียง 1 บาทต่อกิโลกรัม สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 5,000 ล้านบาทต่อปีให้กับประเทศ การที่ราคาเพิ่มขึ้น 12 บาท เท่ากับมีรายได้เพิ่มขึ้น 60,000 ล้านบาท โดยไม่จำเป็นต้องมีการแทรกแซงราคา หรือการชดเชยรายได้ที่เคยทำให้เกษตรกรต้องต่อคิวยาว และทำให้เงินภาษีของชาติถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
สุดท้าย ท้ายที่สุด กยท. ยืนยันว่าจะผลักดันราคายางพาราไทย ด้วยการไม่เข้าร่วมสงครามราคา และการขายในราคาถูก แต่จะแข่งขันด้วยคุณภาพ และมาตรฐาน เพราะเชื่อว่าการด้อยค่าตัวเองไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ และต้องมองว่าไทยเป็นส่วนหนึ่งของโลกไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ดังนั้นการแก้ปัญหาต้องเริ่มต้นจากการช่วยเหลือตนเองเป็นอันดับแรก และร่วมมือกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริง แทนที่จะเพียงตำหนิหรือรอความช่วยเหลือจากผู้อื่น !