svasdssvasds

ฟ้อง ฮุนเซน-ฮุนมาเนต ในศาลไทย กรณีอาชญากรรมสงคราม ทำได้จริงหรือไม่ ?

ฟ้อง ฮุนเซน-ฮุนมาเนต  ในศาลไทย กรณีอาชญากรรมสงคราม ทำได้จริงหรือไม่ ?

ฟ้องอาญากัมพูชา "ฮุนเซน-ฮุนมาเนต" นักวิชาการ ชี้ช่องศาลอาญาระหว่างประเทศ-ดันเป็นคดีอาชญากรรมสงคราม กัมพูชาไร้เอกสิทธิ์คุ้มกัน ขณะที่ กัณวีร์ สืบแสง สส. พรรคเป็นธรรม ชี้ว่า ทำได้

"กัณวีร์ สืบแสง" แจงขั้นตอนฟ้องผู้นำต่างชาติ กรณีอาชญากรรมสงคราม ทำได้จริงหรือไม่ ?

จากกรณีที่ นาย ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี   ได้กล่าวถึงแนวทางการฟ้องร้องผู้นำกัมพูชา จนเกิดเป็นประเด็นถกเถียงในสังคมถึงความเป็นไปได้ทางกฎหมาย 

นาย กัณวีร์ สืบแสง สส. พรรคเป็นธรรม ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ จาก University of Oregon ได้ออกมาให้ความกระจ่างในประเด็นดังกล่าวอย่างละเอียด 

โดยแยกเป็นสองแนวทางหลัก คือการดำเนินคดีในศาลไทย และการใช้กลไกของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC)

1. การฟ้องร้องในศาลไทย: ทำได้ หากผลแห่งการกระทำเกิดในไทย

นายกัณวีร์อธิบายว่า ตามหลักกฎหมายอาญาของไทย หากมีการกระทำความผิดที่ส่งผลกระทบและเกิดความเสียหายขึ้นในราชอาณาจักรไทย ศาลไทยย่อมมีเขตอำนาจในการพิจารณาคดีนั้นได้

"สมมติว่ามีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้ว่าผู้นำต่างชาติเป็นผู้สั่งการให้มีการโจมตีจนสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือชีวิตของประชาชนในประเทศไทย แม้ผู้สั่งการจะอยู่นอกประเทศ แต่เมื่อผลของการกระทำนั้นเกิดขึ้นในแผ่นดินไทย เราสามารถฟ้องร้องดำเนินคดีได้ทั้งผู้ลงมือกระทำและผู้สั่งการ ซึ่งเป็นหลักการที่กฎหมายสากลและกฎหมายของทุกประเทศยอมรับ"

กัณวีร์ สืบแสง สส. พรรคเป็นธรรม

ในกรณีที่ถูกหยิบยกขึ้นมา คือการกล่าวหาเรื่องอาชญากรรมสงคราม จากเหตุการณ์ยิงจรวด BM-21 อย่างไม่เลือกเป้าหมายในช่วงความขัดแย้งชายแดนในอดีต ซึ่งส่งผลให้มีพลเรือนไทยเสียชีวิตที่ร้านสะดวกซื้อในจังหวัดศรีสะเกษ รวมถึงบ้านเรือนและโรงพยาบาลได้รับความเสียหาย 

นายกัณวีร์ชี้ว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายการโจมตีที่มิได้จำกัดเป้าหมายเฉพาะทางทหาร ซึ่งสามารถใช้เป็นมูลเหตุในการฟ้องร้องตามกฎหมายอาญาของไทยได้ และหากผู้ถูกกล่าวหาเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ก็สามารถถูกจับกุมตามกระบวนการได้

2. ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC): กลไกที่เหมาะสมสำหรับอาชญากรรมสงคราม

แม้การฟ้องร้องในศาลไทยจะเป็นไปได้ แต่นาย กัณวีร์ มองว่าาการดำเนินการไปไกลกว่านั้นได้ ตามแนวทางที่ ภูมิธรรม เวชยชัย โดยเสนอให้ใช้กลไกของ ศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court: ICC) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาคดีอาญาร้ายแรงระหว่างประเทศโดยเฉพาะ

ความแตกต่างระหว่าง ICC และ ICJ

นายกัณวีร์ได้ชี้แจงความแตกต่างที่สำคัญระหว่างศาลโลก 2 แห่ง เพื่อป้องกันความสับสน

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ - International Court of Justice)

ทำหน้าที่พิจารณาข้อพิพาทระหว่าง รัฐต่อรัฐ เช่น กรณีเขาพระวิหาร ซึ่งเป็นการต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์และเขตแดนระหว่างรัฐไทยและรัฐกัมพูชา

ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC - International Criminal Court)

ทำหน้าที่พิจารณาความผิดของ บุคคลต่อบุคคล ในคดีอาญาร้ายแรง 4 ฐานความผิดหลัก ได้แก่ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์, อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ, อาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมอันเป็นการรุกราน

ในกรณีนี้ การสั่งโจมตีพลเรือนถือเป็นความผิดของ "บุคคล" ผู้สั่งการ จึงอยู่ในเขตอำนาจของ ICC ซึ่งสามารถฟ้องร้องได้ถึง 3 ฐานความผิด คือ อาชญากรสงคราม, อาชญากรต่อมนุษยชาติ 
ฟ้องผู้นำต่างชาติ ในศาลไทย กรณีอาชญากรรมสงคราม ทำได้จริงหรือไม่ ? Credit ภาพ REUTERS

ไทยจะใช้กลไก ICC ได้อย่างไร ?

นายกัณวีร์ระบุว่า แม้ปัจจุบันประเทศไทยจะยังไม่ได้ให้สัตยาบันเป็นภาคีของ ICC แต่ กัมพูชาเป็นภาคีอยู่แล้ว ซึ่งเปิดช่องให้ไทยสามารถดำเนินการได้ โดยเสนอว่า "ไทยไม่จำเป็นต้องเข้าเป็นภาคีเต็มตัว แต่สามารถยื่นเรื่องเพื่อขอ ยอมรับเขตอำนาจของ ICC เฉพาะในคดีนี้เป็นการเฉพาะกิจ เพื่อให้ศาลสามารถเข้ามาพิจารณาคดีได้"

3. กระบวนการหลังฟ้อง ICC และอำนาจของตำรวจสากล (Interpol)

หาก ICC รับฟ้องและพิจารณาคดีจนมีคำตัดสินว่าผิดจริง ศาลจะออกหมายจับ ซึ่งจะนำไปสู่การออก "หมายแดง" (Red Notice) ของตำรวจสากล (Interpol)

นายกัณวีร์อธิบายว่า Interpol ไม่มีกองกำลังตำรวจของตนเองที่จะไปจับกุมใครได้ทั่วโลก แต่ทำหน้าที่เป็น องค์กรกลางในการประสานงานและขอความร่วมมือ จากประเทศสมาชิก 196 ประเทศทั่วโลก หมายแดงคือการแจ้งเตือนไปยังตำรวจของประเทศสมาชิกให้ช่วยสอดส่องและจับกุมบุคคลดังกล่าวหากเดินทางเข้าประเทศของตน

"ในทางปฏิบัติ คงไม่มีใครสามารถเข้าไปจับกุมผู้นำในประเทศของเขาได้ แต่ผลกระทบที่สำคัญคือ ผู้นำคนนั้นจะถูกประกาศให้เป็นอาชญากรสงคราม ทำให้การเดินทางออกนอกประเทศเป็นไปด้วยความยากลำบาก หากเดินทางไปยังประเทศที่เป็นภาคีของ ICC หรือประเทศที่ยอมรับเขตอำนาจศาล ก็อาจถูกจับกุมได้ทันที"

ฟ้องผู้นำต่างชาติ ในศาลไทย กรณีอาชญากรรมสงคราม ทำได้จริงหรือไม่ ? Credit ภาพ REUTERS

ICC มีอำนาจแค่ไหน ? 

หากจะอธิบายเพิ่มเติม   ICC มีอำนาจพิจารณาเฉพาะคดี ‘ปัจเจกบุคคล’ ที่กระทำความผิด ไม่ใช่การกระทำของรัฐ โดยอาชญากรรมในขอบเขตอำนาจของ ICC จะเป็น ‘อาชญากรรมร้ายแรง’ ในสังคมระหว่างประเทศ ได้แก่ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide), อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ (Crimes Against Humanity), อาชญากรรมสงคราม (War Crimes) และอาชญากรรมการรุกราน (Crime of Aggression) 

โดย ICC สามารถพิจารณาออกหมายจับและดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดทางอาญาระหว่างประเทศหรืออาชญากรสงครามได้ โดยขณะนี้ ICC มีรัฐภาคี 124 ประเทศที่เป็นสมาชิก

ประเทศใดบ้างที่ไม่ได้เป็นสมาชิก ICC 

  • 3 ใน 5 ประเทศสมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC): สหรัฐอเมริกา, รัสเซีย จีน
  • สมาชิก ASEAN รวมทั้งไทย 9 ประเทศ (ยกเว้นกัมพูชา) และประเทศอื่นๆ อีกราว 60 ประเทศ 

4. ประเด็นการจับกุมผู้นำประเทศ: ขัดต่อหลักสากลหรือไม่ ?

ต่อข้อสงสัยที่ว่าการจับกุมผู้นำประเทศจะถือเป็นการแทรกแซงทางการเมือง หรือเป็นการ "รัฐประหารนอกประเทศ" ของฝั่งกัมพูชา หรือไม่ ? นายกัณวีร์ให้ความเห็นว่า ไม่เป็นเช่นนั้น

"หลักการคุ้มกันประมุขแห่งรัฐ ไม่สามารถนำมาใช้กับอาชญากรรมสงครามได้" เขากล่าว "หากผู้นำประเทศใดสั่งการให้ไปสังหารผู้คนในประเทศเพื่อนบ้านแล้วอ้างความคุ้มกัน ก็จะทำให้หลักกฎหมายระหว่างประเทศไม่มีความหมาย หลักการนี้อยู่เหนือกฎหมายภายในประเทศ มันคือจารีตประเพณีและกติกาสากลที่ทั่วโลกยอมรับ เช่น อนุสัญญาเจนีวา เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้กระทำผิดร้ายแรงลอยนวล การดำเนินคดีจึงไม่ใช่การแทรกแซงทางการเมือง แต่เป็นการบังคับใช้กฎหมายที่ใหญ่กว่า ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล"

โดยสรุป นายกัณวีร์ สืบแสง ยืนยันว่าการฟ้องร้องผู้นำต่างชาติในข้อหาอาชญากรรมสงครามนั้นมีความเป็นไปได้ทั้งในทางทฤษฎีและปฏิบัติ ผ่านกลไกของศาลไทยและศาลอาญาระหว่างประเทศ 

นักวิชาการชี้ช่องกฎหมายระหว่างประเทศ กรณีรัฐบาลไทยจ่อฟ้องกัมพูชา

ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายระหว่างประเทศ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์แสดงทรรศนะผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Phil Saengkrai" โดยชี้ให้เห็นถึงความซับซ้อนของหลักความคุ้มกันทางกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อการดำเนินคดีของฝ่ายไทย

ความคุ้มกัน 2 ประเภท: อุปสรรคสำคัญในศาลระดับประเทศ 

ดร.ภัทรพงษ์ อธิบายว่า หากเป็นการดำเนินคดีใน ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ปัญหาเรื่องเอกสิทธิ์และความคุ้มกันจะไม่เป็นอุปสรรค เนื่องจากธรรมนูญศาลได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่าไม่สามารถยกมากล่าวอ้างได้

อย่างไรก็ตาม ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อเป็นการดำเนินคดีใน ศาลภายในของประเทศ ซึ่งต้องเผชิญกับหลักความคุ้มกัน 2 ประเภท ได้แก่

  • ความคุ้มกันตามหน้าที่ (Functional Immunity หรือ immunity ratione materiae)

เจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติงานในทางการจะได้รับความคุ้มกันจากการถูกดำเนินคดี จับกุม หรือออกหมายจับโดยรัฐอื่น ในส่วนที่เกี่ยวกับการกระทำในหน้าที่นั้นๆ

  • ความคุ้มกันส่วนบุคคล (Personal Immunity หรือ immunity ratione personae)

เป็นความคุ้มกันที่มอบให้กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ เช่น ประมุขแห่งรัฐ หัวหน้ารัฐบาล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยจะได้รับความคุ้มกันอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในทุกกรณีขณะดำรงตำแหน่ง โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ซึ่งเป็นหลักกฎหมายที่ค่อนข้างยุติและได้รับการยอมรับในระดับสากล เพื่อป้องกันมิให้เกิดการแทรกแซงกิจการภายในของรัฐอื่นโดยง่าย

"ลองนึกง่ายๆ ว่า ถ้าประธานาธิบดีของรัฐ ก ไปถูกจับที่รัฐ ข ก็เท่ากับว่ากฎหมายระหว่างประเทศยอมให้ประเทศต่างๆ ทำรัฐประหารได้ง่ายๆ กฎหมายคงพัฒนาไปในทางนั้นไม่ได้" ดร.ภัทรพงษ์กล่าว

พัฒนาการใหม่ในยุโรป: ข้อยกเว้นสำหรับอาชญากรรมร้ายแรง

แม้ว่าหลักความคุ้มกันจะดูเป็นอุปสรรคสำคัญ แต่ ดร.ภัทรพงษ์ ได้ชี้ให้เห็นถึงพัฒนาการทางกฎหมายที่น่าสนใจในภาคพื้นยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นความคุ้มกันตามหน้าที่ (Functional Immunity)

หลายประเทศในยุโรปเริ่มมีแนวโน้มที่จะไม่ยอมรับการอ้างความคุ้มกันของเจ้าหน้าที่รัฐ หากการกระทำนั้นเข้าข่าย "อาชญากรรมระหว่างประเทศ" (International Crime Exception) เช่น อาชญากรรมสงคราม อาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ หรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

พัฒนาการล่าสุดที่สำคัญคือคำตัดสินครั้งประวัติศาสตร์ของ ศาลฎีกาฝรั่งเศส ซึ่งได้วางหลักเป็นครั้งแรกว่า ศาลฝรั่งเศสมีอำนาจในการออกหมายจับเจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศในคดีที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมร้ายแรงดังกล่าวได้ หากมีพยานหลักฐานเพียงพอ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

related