"ศักดิ์ศรี" ในสมรภูมิ ทำไมต้องเก็บศพทหารในยามสงคราม ? - การปฏิบัติต่อผู้เสียชีวิตในสนามรบที่ควรทำ มาตรวัดอารยธรรมที่ถูกท้าทายในสงคราม
ท่ามกลางภาพข่าวความโหดร้ายจากสงครามในพื้นที่ต่างๆ ของโลก มีภาพหนึ่งที่อาจดูขัดแย้งแต่กลับสะท้อนแก่นแท้ความเป็นมนุษย์ นั่นคือภาพการแลกเปลี่ยนร่างของทหารผู้เสียชีวิตภายใต้การประสานงานของคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC)
นี่คือธรรมเนียมปฏิบัติอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีรากฐานหยั่งลึก และถูกจารึกไว้เป็นกฎหมายระหว่างประเทศ
แล้วเพราะเหตุใดท่ามกลางการเข่นฆ่า กองทัพจึงต้องหยุดยิงเพื่อมอบเกียรติให้แก่ผู้ที่สิ้นลมหายใจไปแล้ว ไม่เว้นแม้แต่ฝ่ายศัตรู ? คำตอบของคำถามนี้ อยู่ในหัวใจของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และเป็นเครื่องชี้วัดที่สำคัญว่า แม้ในช่วงเวลาที่มืดมนโหดร้าย
เรายังคงหลงเหลือความเป็นคนอยู่มากเพียงใด
แนวคิดเรื่องการหยุดยิงเพื่อเก็บร่างผู้พลีชีพนั้นเก่าแก่พอๆ กับสงคราม แต่ภาพที่ตราตรึงใจที่สุดคงหนีไม่พ้น "การพักรบวันคริสต์มาส" (Christmas Truce) ในปี 1914 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อทหารอังกฤษและเยอรมันต่างวางอาวุธโดยสมัครใจ ปีนขึ้นจากสนามเพลาะที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดและโคลน ไม่ใช่เพื่อสู้รบ แต่เพื่อแลกเปลี่ยนของขวัญ ร้องเพลง และที่สำคัญที่สุด คือการช่วยกันนำร่างของเพื่อนทหารที่นอนไร้วิญญาณอยู่บน "แผ่นดินไร้เจ้าของ" (No Man's Land) ไปฝังอย่างสมเกียรติ
เหตุการณ์นั้นไม่ได้เกิดจากคำสั่งของผู้บังคับบัญชา แต่มาจากความรู้สึกร่วมทางมนุษยธรรมในระดับปัจเจก ที่ปรารถนาจะมอบศักดิ์ศรีคืนให้แก่ผู้เสียชีวิต แม้จะเป็นฝ่ายตรงข้ามก็ตาม
จิตวิญญาณแห่งการพักรบวันคริสต์มาสนี้เอง ได้วิวัฒนาการจนกลายเป็นหลักการสำคัญใน กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (IHL) หรือที่รู้จักกันในชื่อ อนุสัญญาเจนีวา ซึ่งมีสถานะเป็นพันธกรณีที่รัฐต่างๆ ทั่วโลกต้องยึดถือ หัวใจของกฎหมายนี้เรียบง่ายและชัดเจน :
ต้องค้นหาและเก็บรวบรวม: ทุกฝ่ายในความขัดแย้งมีหน้าที่ต้องค้นหาร่างผู้เสียชีวิตโดยไม่ชักช้า
ต้องปฏิบัติต่ออย่างสมเกียรติ: ห้ามกระทำการย่ำยี ปล้นสะดม หรือทำให้ศพเสียหาย
ต้องพยายามระบุตัวตน: ต้องบันทึกข้อมูลทุกอย่างที่ทำได้เพื่อระบุตัวตนผู้เสียชีวิต
ต้องอำนวยความสะดวกในการส่งคืน: ต้องพยายามส่งคืนร่างและของใช้ส่วนตัวแก่ครอบครัว
หลักการสำคัญที่สุดคือ "การไม่เลือกปฏิบัติ" หมายความว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไม่ได้สิ้นสุดลงเมื่อสิ้นลมหายใจ ไม่ว่าพวกเขาจะเคยสวมเครื่องแบบใดก็ตาม
การนำกฎหมายไปปฏิบัติจริงท่ามกลางความขัดแย้งที่ปะทุอยู่ ไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องอาศัยสองพลังสำคัญ นั่นคือ คนกลางที่เป็นกลาง และ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) คือองค์กรที่ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่เป็น "สะพาน" ข้ามแนวรบ ขณะที่ คณะกรรมาธิการระหว่างประเทศว่าด้วยบุคคลสูญหาย (ICMP) ได้บุกเบิกการใช้ นิติวิทยาศาสตร์เชิงมนุษยธรรม เพื่อ "คืนชื่อ" ให้กับผู้ล่วงลับ
กรณีศึกษาจาก หมู่เกาะฟอล์กแลนด์/มัลวินัส คือตัวอย่างที่ทรงพลัง หลังสงครามในปี 1982 หลายสิบปีต่อมา อาร์เจนตินาและสหราชอาณาจักร ซึ่งยังคงมีข้อพิพาทเรื่องอธิปไตย ได้ร่วมกันมอบหมายให้ ICRC ดำเนินโครงการระบุตัวตนทหารอาร์เจนตินาที่ถูกฝังนิรนาม ทีมนิติวิทยาศาสตร์ใช้เทคโนโลยี DNA สมัยใหม่ จนสามารถระบุตัวตนทหารได้ถึง 121 นาย แสดงให้เห็นว่าภารกิจด้านมนุษยธรรมสามารถก้าวข้ามความขัดแย้งทางการเมืองได้
ในขณะเดียวกัน กรณี การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่สเรเบรนิตซา (บอสเนีย) ได้พิสูจน์ว่า การระบุตัวตนผู้เสียชีวิตไม่ใช่แค่การเยียวยาครอบครัว แต่ยังเป็นเครื่องมือสร้างความยุติธรรม หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่ ICMP รวบรวมจากหลุมศพหมู่ ถูกนำไปใช้ในศาลอาชญากรรมสงคราม และนำไปสู่การตัดสินลงโทษผู้กระทำผิดในข้อหาฆ่าล้างเผ่า
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางประวัติศาสตร์อันน่าเคารพนี้ สงครามรัสเซียยูเครน ได้เผยให้เห็นรอยร้าวและแนวโน้มอันน่ากังวลที่สวนทางกับหลักมนุษยธรรมโดยสิ้นเชิง
ข้อมูลล่าสุดจากปี 2025 ชี้ให้เห็นความไม่สมดุลอย่างน่าตกใจในการแลกเปลี่ยนร่างทหาร ยูเครนได้รับร่างทหารของตนคืนกว่า 6,000 นาย ขณะที่รัสเซียรับกลับไปไม่ถึงหนึ่งร้อยนาย ปรากฏการณ์ "ทิ้งศพ" นี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ถูกมองว่าเป็นนโยบายที่เลือดเย็นและมีการคำนวณมาเป็นอย่างดี
รัฐบาลรัสเซียผ่านกฎหมายให้เงินชดเชยจำนวนมหาศาลแก่ครอบครัวทหารที่เสียชีวิต แต่ในทางปฏิบัติ มีรายงานว่าทหารได้รับคำสั่งไม่ให้เก็บกู้ร่างของเพื่อนร่วมรบ เพื่อหลีกเลี่ยงภาระค่าใช้จ่ายตามหลักการที่โหดร้ายว่า “ไม่มีศพ ไม่มีการจ่ายเงิน” โดยจะรายงานสถานะของทหารเหล่านั้นว่าเป็น "ผู้สูญหายในการปฏิบัติการ" แทน "เสียชีวิต"
การกระทำแบบนี้ ไม่เพียงแต่ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ แต่ยังเป็นการใช้ความโศกเศร้าเป็นเครื่องมือทางการเมือง
มันทิ้งให้ครอบครัวชาวรัสเซียตกอยู่ในสภาวะที่นักจิตวิทยาเรียกว่า "ความสูญเสียที่คลุมเครือ" (Ambiguous Loss) ซึ่งเป็นความทุกข์ทรมานที่ไม่สิ้นสุด เพราะกระบวนการไว้อาลัยไม่อาจเริ่มต้นได้หากปราศจากความแน่นอนถึงชะตากรรมของบุคคลอันเป็นที่รัก
สำหรับทหารที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ การตระหนักว่าการเสียสละของพวกเขาอาจจบลงด้วยการถูกทอดทิ้งในสนามรบเพื่อเหตุผลทางการเงิน ย่อมบั่นทอนขวัญและกำลังใจอย่างรุนแรง และทำลาย "สัญญาใจ" ระหว่างรัฐกับผู้ที่ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องรัฐ
ขณะเดียวกัน สิ่งที่เกิดขึ้นบริวเณ ชายแดนไทยกัมพูชา ก็เป็นสิ่งที่น่ากังวล เพราะ ผลเสียของการไม่เก็บศพทหาร จากฝั่งกัมพูชา ถือเป็นการละเมิดและขัดต่อ IHL หลักจริยธรรมสากลที่ให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีของมนุษย์ และ ครอบครัวของทหารที่เสียชีวิต ทุกข์ใจยาวนาน เผชิญกับความหวังที่เลื่อนลอยและความโศกเศร้าที่ยืดเยื้อ หากไม่รู้ชะตากรรมของศพ
การปฏิบัติต่อร่างผู้เสียชีวิตในสงครามจึงเป็นมากกว่าแค่ธรรมเนียม มันคือมาตรวัดอารยธรรมของเรา มันคือการกระทำที่ยืนยันว่า แม้ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของมนุษยชาติ เรายังคงยึดมั่นในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ร่วมกัน
ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา บอกเราว่า การให้เกียรติผู้ล่วงลับคือรากฐานสำคัญสู่การปรองดอง จับมือกันได้ การเพิกเฉยต่อพวกเขาคือการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความขัดแย้งไว้สำหรับคนรุ่นต่อไป
พันธกิจอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะยืนยันว่าการเดินทางสุดท้ายของเหล่าผู้เสียสละคือการได้กลับบ้านอย่างสมเกียรตินั้น เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องร่วมกันปกป้องไว้.
แต่การละทิ้งผู้เสียสละของตนในสนามรบเพื่อผลประโยชน์ทางการคลังและการเมือง อาจเป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดว่า รัฐนั้นได้ละทิ้งความเป็นมนุษย์ของตนเองไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
ที่มา : cwgc.org iwm.org.uk cwgc jstor.org aljazeera numberanalytics icrc.org
ข่าวที่เกี่ยวข้อง