svasdssvasds

นักเรียนทำร้ายครู เหตุไม่พอใจคะแนนสอบ สช.ชี้เข้าข่ายคดีอาญา

นักเรียนทำร้ายครู เหตุไม่พอใจคะแนนสอบ สช.ชี้เข้าข่ายคดีอาญา

นักเรียนชายชั้น ม.5 ที่ จ.อุทัยธานีทำร้ายร่างกายครูในห้องเรียน เนื่องจากไม่พอใจที่ได้คะแนนสอบ 18 เต็ม 20 ครูยืนยันเอาเรื่องให้ถึงที่สุด สช.ชี้เข้าข่ายคดีอาญา

SHORT CUT

  • นักเรียนชายชั้น ม.5 ที่จังหวัดอุทัยธานีทำร้ายร่างกายครูในห้องเรียน เนื่องจากไม่พอใจที่ได้คะแนนสอบ 18 เต็ม 20 เพราะไม่ได้แสดงวิธีทำตามที่กำหนด
  • ครูได้รับบาดเจ็บฟกช้ำและได้เข้าแจ้งความดำเนินคดี ส่วนนักเรียนผู้ก่อเหตุถูกพักการเรียนก่อนจะลาออกจากโรงเรียนในภายหลัง
  • การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดทางอาญาฐานทำร้ายร่างกาย ซึ่งมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญา
  • เนื่องจากผู้ก่อเหตุเป็นเยาวชน (อายุ 17 ปี) ศาลอาจใช้ดุลพินิจลดโทษลงกึ่งหนึ่ง หรือใช้มาตรการพิเศษสำหรับเยาวชนแทนการลงโทษ

นักเรียนชายชั้น ม.5 ที่ จ.อุทัยธานีทำร้ายร่างกายครูในห้องเรียน เนื่องจากไม่พอใจที่ได้คะแนนสอบ 18 เต็ม 20 ครูยืนยันเอาเรื่องให้ถึงที่สุด สช.ชี้เข้าข่ายคดีอาญา

กลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโซเชียลมีเดีย เมื่อครูสาวคนหนึ่งออกมาเปิดเผยเรื่องราวสุดสะเทือนใจที่เธอถูกนักเรียนชายชั้น ม.5 ทำร้ายร่างกายภายในห้องเรียน เพียงเพราะไม่พอใจเรื่องคะแนนสอบ

คะแนนสอบ 18 เต็ม 20 จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายครู

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อนักเรียนชายคนดังกล่าวได้คะแนนสอบ 18 เต็ม 20 แม้คำตอบจะถูกต้อง แต่ครูไม่ได้ให้คะแนนเต็ม เพราะนักเรียนไม่ได้แสดงวิธีทำตามที่โจทย์กำหนดไว้ โดยเขียนมาเพียงแค่ 2 บรรทัดเท่านั้น เมื่อนักเรียนไม่พอใจและเข้ามาสอบถาม ครูก็ได้อธิบายเหตุผลให้ฟังอย่างชัดเจน แต่นักเรียนกลับไม่รับฟัง พร้อมทั้งท้าให้ครูลองไปถามครูท่านอื่นว่าให้คะแนนแบบนี้หรือไม่

เมื่อนักเรียนกลับมาพร้อมกับคำตอบว่า คะแนนขึ้นอยู่กับดุลพินิจของครูผู้สอนแต่ละคน ครูสาวจึงยืนยันที่จะให้คะแนนเท่าเดิม และไม่เพิ่มคะแนนให้ เพราะถือว่าเป็นดุลยพินิจของเธอ ก่อนจะให้เด็กไปสงบสติอารมณ์แล้วค่อยกลับมาคุยกันใหม่

จากความไม่พอใจ สู่การทำร้ายร่างกาย

แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นไปตามที่คาดคิด เมื่อนักเรียนชายคนเดิมเดินตรงเข้ามาทำร้ายร่างกายครูอย่างรุนแรง ด้วยการชกเข้าที่ใบหน้าหลายครั้ง ทั้งยังเตะและใช้เข่ากระแทกใส่จนครูได้รับบาดเจ็บ เพื่อนนักเรียนในห้องที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตกใจและพยายามเข้าห้ามปราม

หลังเกิดเหตุการณ์ ครูสาวได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล พบว่ามีอาการฟกช้ำที่ดวงตา หัวบวม และซี่โครงอักเสบ หลังจากนั้นเธอได้เดินทางไปแจ้งความไว้ที่ สภ.หนองฉาง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

ด้านผู้ปกครองของนักเรียนชายได้ติดต่อเข้ามาขอโทษครูในภายหลัง ส่วนนักเรียนชายคนก่อเหตุถูกลงโทษให้พักการเรียน และได้มาทำเรื่องลาออกจากโรงเรียนในเวลาต่อมา

สช. เผยเหตุนักเรียนทำร้ายครู เข้าข่ายคดีอาญา

ด้านสำนักงานคณะกรรมการการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ได้รับทราบรายงานเรื่องดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยตอนนี้อยู่ในกระบวนการสอบถามความคืบหน้าไปยังศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) อุทัยธานี

ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นทางโรงเรียนจะเป็นผู้ดำเนินการร่วมกับเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง ทั้งในส่วนของการสอบสวนข้อเท็จจริงและการดำเนินการตามระเบียบหรือกฎหมายที่กำหนด

 

เด็กนักเรียนทำร้ายครู เข้าข่ายคดีอาญา

กรณีที่เด็ก ม.5 ทำร้ายร่างกายครู ถือเป็น "เยาวชน" ที่อยู่ในข่ายต้องรับผิดทั้งทางอาญา และอาจมีมาตรการพิเศษจากศาลเยาวชน

บทลงโทษทางอาญา

ตามประมวลกฎหมายอาญา หากมีเจตนาทำร้ายร่างกายครู

  • มาตรา 391 (ทำร้ายร่างกายไม่ถึงกับเกิดอันตราย)  โทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 
  • มาตรา 295 (ทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ) โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 
  • หากเกิดบาดเจ็บสาหัส (มาตรา 297) หรือมีลักษณะอื่นที่รุนแรงกว่านั้น (มาตรา 298) โทษก็จะหนักขึ้นตามลักษณะของความผิดฯ

การดำเนินคดีสำหรับเยาวชน (อายุ 15-18 ปี)

แม้เยาวชนจะมีอายุเกิน 15 ปี แต่ไม่ถึง 18 ปี แล้วกระทำความผิด ศาลสามารถใช้ดุลพินิจได้ว่าควรลงโทษหรือไม่ และสามารถลดโทษได้ 

  • ศาลอาจ ไม่สั่งลงโทษ แต่ใช้มาตรการพิเศษ เช่น ว่ากล่าวตักเตือน, คุมประพฤติ, หรือส่งเข้าโครงการอบรมต่างๆ
  • หากศาลสั่งลงโทษ ก็สามารถลดโทษลงได้ครึ่งหนึ่ง

เด็กอายุ 17 ปี ที่ทำร้ายร่างกายครู มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 หรือมาตรา 297 (แล้วแต่ความรุนแรงของเหตุการณ์) โดยมีโทษทางกฎหมายที่กำหนดไว้สำหรับผู้ใหญ่ แต่เมื่อเป็นผู้เยาว์ ศาลจะใช้มาตรการพิเศษภายใต้ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนฯ โดยอาจลดโทษให้กึ่งหนึ่ง หรือใช้มาตรการอื่นแทนการลงโทษทางอาญา ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลในการพิจารณาจากพฤติกรรมและรายงานการสืบเสาะข้อเท็จจริง

ที่มา : สำนักงานกิจการยุติธรรม , มหาวิทยาลัยหาดใหญ่

related