svasdssvasds

เอดส์ (AIDS) โรคร้ายจากยุค 1980s - เงาแห่งความตายที่คนทั้งโลกเคยกลัว

เอดส์ (AIDS) โรคร้ายจากยุค 1980s - เงาแห่งความตายที่คนทั้งโลกเคยกลัว

ชวนทำความรู้จักที่มาของโรค เอดส์ (AIDS) โรคร้ายจากยุค 1980s เงาแห่งความตายที่คนทั้งโลกเคยกลัว...เป็นแล้วไม่มีวันหาย

ย้อนกลับไปยุค 1980s  โลกได้สบตากับ "โรคร้ายปริศนา" ที่สร้างความหวาดกลัวและคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากอย่างไม่ทราบสาเหตุ และที่สำคัญ มันรักษาไม่หาย มันคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันยาวนานในการต่อสู้กับโรคเอดส์ (AIDS) เรื่องราวที่เต็มไปด้วยความสูญเสีย การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ครั้งประวัติศาสตร์ 

ปี 2024 องค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ทั่วโลกราว 40.8 ล้านคน ตัวเลขนี้คือเครื่องย้ำเตือนว่า แม้วิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปไกลเพียงใด เพราะช่วงเวลาหนึ่ง AIDS  เป็นหนึ่งในโรคที่มนุษย์ตื่นกลัวมากที่สุด 

จุดกำเนิดแห่งความกลัว: เมื่อโลกได้รู้จัก ‘เอดส์’ 

ข่าวชิ้นแรกที่กล่าวถึงอาการป่วยลึกลับนี้ปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ ในวันที่ 18 พ.ค. 1981 ในนิตยสารสำหรับกลุ่มเกย์ชื่อ New York Native แต่จุดที่ทำให้โลกตื่นตระหนกอย่างแท้จริงคือรายงานทางการแพทย์ฉบับแรกโดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ (CDC) เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 1981
 

รายงานระบุถึงชายหนุ่ม 5 รายใน LA ที่ป่วยด้วยโรคปอดบวมจากเชื้อ Pneumocystis carinii (PCP) ซึ่งปกติจะพบในผู้ที่ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรงเท่านั้น หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีรายงานผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังชนิดหายากอย่าง Kaposi's sarcoma (KS) เพิ่มขึ้นในกลุ่มชายรักชาย การระบาดที่หาสาเหตุไม่ได้นี้ทำให้ CDC ต้องจัดตั้งทีมเฉพาะกิจขึ้นมาติดตามทันที

ในช่วงแรก โรคนี้ยังไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ มันถูกเรียกไปต่างๆ นานา เช่น "โรค 4H" เนื่องจากส่งผลกระทบหนักใน 4 กลุ่มหลัก คือ ชาวเฮติ (Haitians), ผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลีย (Hemophiliacs), ผู้ใช้เฮโรอีน (Heroin users) และกลุ่มคนรักร่วมเพศ (Homosexuals) หรือชื่อ "GRID" (Gay-Related Immune Deficiency) ซึ่งเป็นชื่อที่สร้างความเข้าใจผิดและตราบาปอย่างมหาศาล

จนกระทั่งปลายปี 1982 CDC ของสหรัฐฯ ได้บัญญัติชื่อที่เป็นกลางและสะท้อนถึงแก่นของโรคได้ดีที่สุดว่า AIDS (Acquired Immunodeficiency Syndrome) หรือ "กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันบกพร่อง" นับเป็นก้าวแรกในการทำความเข้าใจโรคร้ายที่มองไม่เห็นตัวนี้ 

เอดส์ (AIDS) โรคร้ายจากยุค 1980s - เงาแห่งความตายที่คนทั้งโลกเคยกลัว Credit ภาพ AFP
 

การค้นพบเชื้อไวรัส HIV 

ปี 1983 ถือเป็นปีแห่งการค้นพบครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อทีมนักวิทยาศาสตร์ 2 กลุ่มต่างตีพิมพ์ผลงานการค้นพบไวรัสเรโทรชนิดใหม่ที่อาจเป็นสาเหตุของโรคเอดส์
ทีมจากสถาบันปาสเตอร์ ประเทศฝรั่งเศส นำโดย ดร.ฟร็องซัวส์ บาร์เร-ซินูสซี และ ดร.ลุค มงตาญนิเยร์ ได้แยกเชื้อไวรัสและตั้งชื่อว่า LAV (Lymphadenopathy-Associated Virus)
ทีมจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา นำโดย ดร.โรเบิร์ต กัลโล ได้ค้นพบไวรัสชนิดเดียวกันและตั้งชื่อว่า HTLV-III

ในที่สุด ปี 1986 ทั้งสองทีมได้ข้อสรุปว่าไวรัสที่ค้นพบคือชนิดเดียวกัน และได้มีการตกลงใช้ชื่อสากลว่า HIV (Human Immunodeficiency Virus) หรือ "เชื้อไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่องของมนุษย์" การค้นพบนี้ได้เปลี่ยนทิศทางการต่อสู้จากความมืดมิดสู่แสงสว่างแห่งวิทยาศาสตร์ นำไปสู่การพัฒนายาต้านไวรัสที่จะช่วยชีวิตคนนับล้านในเวลาต่อมา

HIV ไม่ใช่ เอดส์: ทำความเข้าใจความแตกต่างที่สำคัญ 

สิ่งสำคัญที่สุดที่สังคมต้องเข้าใจคือ การติดเชื้อ HIV ไม่ได้หมายความว่าเป็นโรคเอดส์ ทั้งสองคำนี้มีความหมายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

HIV (Human Immunodeficiency Virus): คือ "เชื้อไวรัส" ที่เข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งทำหน้าที่เป็นเหมือนแม่ทัพของระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อเซลล์เหล่านี้ถูกทำลายลง ภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะอ่อนแอลงเรื่อยๆ

AIDS (Acquired Immunodeficiency Syndrome): คือ "กลุ่มอาการ" หรือภาวะป่วยในระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV ที่ไม่ได้รับการรักษา ภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายจนไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ได้ ทำให้เกิด "โรคติดเชื้อฉวยโอกาส" เช่น วัณโรค หรือมะเร็งบางชนิด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิต

ในปัจจุบัน ผู้ที่ติดเชื้อ HIV หรือที่เรียกว่า "ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ" หากได้รับการวินิจฉัยเร็วและรับยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ จะสามารถควบคุมปริมาณไวรัสในร่างกายให้อยู่ในระดับต่ำมาก จน "ตรวจไม่พบ" (Undetectable) ซึ่งนำไปสู่หลักการสำคัญคือ U=U (Undetectable = Untransmittable) หมายความว่า "ตรวจไม่พบเชื้อ = ไม่แพร่เชื้อ" พวกเขาสามารถมีสุขภาพที่แข็งแรง มีอายุขัยใกล้เคียงคนทั่วไป และมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ถ่ายทอดเชื้อสู่คู่ของตน

เสียงดนตรีปลุกโลก: คอนเสิร์ตประวัติศาสตร์เพื่อผู้ป่วยเอดส์

ในช่วงเวลาที่โลกตื่นกลัวจากโรคเอดส์ ช่วงแรกๆ นั้น , มีซูเปอร์สตาร์ของโลกอย่าง ของเฟรดดี้ เมอร์คิวรี วง Queen ที่จากโลกนี้ไปด้วยโรคเอดส์ , การสูญเสียในครั้งนั้น  วงการดนตรีได้ลุกขึ้นมาเป็นกระบอกเสียงสำคัญในการทลายกำแพงความเงียบและระดมทุนเพื่อต่อสู้กับโรคเอดส์

The Freddie Mercury Tribute Concert for AIDS Awareness (1992) คือหมุดหมายสำคัญที่สุด คอนเสิร์ตนี้จัดขึ้น ณ สนามกีฬาเวมบลีย์ กรุงลอนดอน เพื่อรำลึกถึง เฟรดดี้ เมอร์คิวรี นักร้องนำวง Queen ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งเสียชีวิตจากโรคเอดส์ไปในช่วงเวลาก่อนหน้านั้น 

The Freddie Mercury Tribute Concert for AIDS Awareness (1992)

สมาชิกที่เหลือของวง Queen ได้รวมพลังกับศิลปินระดับโลกแห่งยุคสมัย อาทิ Elton John, David Bowie, George Michael, Guns N' Roses และ Metallica สร้างสรรค์ค่ำคืนแห่งประวัติศาสตร์ต่อหน้าผู้ชม 72,000 คน และถ่ายทอดสดไปทั่วโลกสู่สายตาผู้ชมกว่า 1 พันล้านคน คอนเสิร์ตครั้งนี้ไม่เพียงแต่ระดมทุนมหาศาลเพื่อก่อตั้งมูลนิธิ The Mercury Phoenix Trust แต่ยังช่วยสร้างความตระหนักรู้และลดอคติต่อโรคเอดส์ได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่สานต่อภารกิจนี้ เช่น มูลนิธิเอดส์ของ เอลตัน จอห์น (Elton John AIDS Foundation) และคอนเสิร์ต Staying Alive ของ MTV ที่มุ่งให้ความรู้แก่เยาวชนทั่วโลก


การเดินทางกว่า 4 ทศวรรษได้เปลี่ยนโฉมหน้าของ HIV/AIDS จาก "คำพิพากษาแห่งความตาย" ให้กลายเป็น "โรคเรื้อรังที่จัดการได้" อย่างไรก็ตาม สงครามครั้งนี้จะยังไม่จบสิ้นหากสังคมยังคงมีความเข้าใจที่ผิดและตีตราผู้ติดเชื้อ ภารกิจที่เหลืออยู่ไม่เพียงแค่อยู่ในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ แต่คือการสร้างสังคมที่เปิดกว้าง สนับสนุนให้ทุกคนกล้าที่จะตรวจเลือด และมอบความเข้าใจให้แก่ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ เพื่อให้เราสามารถยุติการระบาดของเอดส์ได้สำเร็จตามเป้าหมายในที่สุด

โบว์แดง - สัญลักษณ์ของโรคเอดส์ 

โบว์สีแดงเป็นสัญลักษณ์ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกเพื่อแสดงถึงการสนับสนุนและความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ รวมถึงเป็นการระลึกถึงผู้ที่เสียชีวิตจากโรคนี้

ความหมายของโบว์สีแดง โบว์สีแดงมีความหมายที่ลึกซึ้งหลายประการ:
 
สีแดง: เป็นสีที่สื่อถึงความรัก, เลือด, ความหลงใหล และความโกรธ ซึ่งสะท้อนถึงความซับซ้อนของสถานการณ์โรคเอดส์

ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน: การติดโบว์สีแดงเป็นการแสดงออกว่าคุณยืนหยัดเคียงข้างผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเอชไอวี/เอดส์ และพร้อมที่จะต่อสู้กับการตีตราและการเลือกปฏิบัติ
การสร้างความตระหนักรู้: เป็นเครื่องมือที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังในการกระตุ้นให้ผู้คนพูดคุยและตระหนักถึงปัญหาเอดส์
การระลึกถึง: เพื่อรำลึกถึงเพื่อน, สมาชิกในครอบครัว และผู้คนนับล้านทั่วโลกที่จากไปด้วยโรคนี้

ที่มาของโบว์สีแดง
โบว์สีแดงถูกสร้างสรรค์ขึ้นในปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) โดยกลุ่มศิลปิน Visual AIDS Artists Caucus ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา พวกเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากโบว์สีเหลืองที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ของการสนับสนุนทหารอเมริกันในสงครามอ่าวเปอร์เซีย

โบว์สีแดงโด่งดังและกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างอย่างรวดเร็ว หลังจากที่นักแสดง เจเรมี ไอรอนส์ (Jeremy Irons) ติดโบว์นี้ขึ้นรับรางวัลบนเวที Tony Awards ในปีเดียวกัน ทำให้สัญลักษณ์นี้แพร่หลายไปทั่วโลกและถูกนำไปใช้ในกิจกรรมรณรงค์เรื่องเอดส์นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เจเรมี ไอรอนส์ (Jeremy Irons) ติดโบว์แดง Credit ภาพ visualaids.org

ที่มา : hfocus.org rama.mahidol.ac.th medium  visualaids.org

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

related