SHORT CUT
วรรณสิงห์ในเถื่อน Travel ค้นหา 'ความเป็นคน' ท่ามกลางสงคราม เพื่อเยียวยาและเล่าเรื่องมนุษยชาติ หวังลดอคติในโลกที่พังทลาย
ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและคำถามที่ไม่สิ้นสุด บางครั้งเราก็เลือกที่จะหยุดพัก พักจากทุกสิ่งที่เราเคยเป็น และหันหลังให้กับสิ่งที่เคยนิยามตัวตนของเราเอาไว้ คำพูดของชายคนหนึ่งที่พูดชื่อแล้วคุณต้องคุ้นเคย
ชายคนนั้นมีชื่อว่า 'วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล' นักเดินทางที่เคยพาเราบุกป่าฝ่าดงมาแล้วทั่วโลก
"ผมคิดว่าจะเข้าสู่เฟสต่อไปของชีวิตแล้ว มีครอบครัว เลี้ยงลูกอยู่กับบ้าน แล้วก็ยินดีกับมันมากเลยนะที่ได้พักซะที (หัวเราะ)" เขาเล่าด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย แต่ชีวิตก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เราวาดฝันไว้เสมอไป เมื่อความคาดหวังพังทลายลง คำถามที่ว่า "ฉันเป็นใครกันแน่?" และ "ฉันเกิดมาทำไม?" ก็กลับมาวนเวียนในหัวเขาอีกครั้งอย่างไม่หยุดหย่อน วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าในห้วงชีวิตที่ต้องเผชิญกับทางแยก
สำหรับวรรณสิงห์ เส้นทางที่ให้คำตอบกับเขาได้เสมอคือ "การเดินทาง" แม้ในตอนแรกจะไม่ได้คาดหวังว่ามันจะช่วยได้จริงหรือไม่ แต่การเอาตัวเองไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่เคยไป กลับทำให้เขาได้คำตอบอย่างน่าประหลาดใจ นี่คือที่มาของรายการ 'เถื่อน Travel' ตั้งแต่ซีซันแรก เมื่อสิบปีก่อน ที่เขาออกเดินทางไปแอฟริกาเพื่อหาคำตอบให้กับความ "งง" ในชีวิต และมันก็ได้ผล
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับมาค้นหาตัวเองอีกครั้ง มีสองทางเลือกหลักๆ ที่ปรากฏขึ้นในความคิดของเขา หนึ่งคือการนั่งสมาธิ ซึ่งเขาหัวเราะและบอกว่า "ทำได้ก็เก่งนะ" เพราะเขาเองก็ถึงวัยที่อยากจะอยู่นิ่งๆ บ้างแล้ว หรืออีกทางคือการออกไปเผชิญโลกอีกครั้งเพื่อค้นหาว่าอะไรกำลังรออยู่ข้างหน้า
"ภาพที่ชัดขึ้นมาในหัวเรื่อยๆ ก็คือการเข้าสู่สงครามอีกครั้ง เข้าไปในมุมที่ลึกกว่าเดิม" เขาอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจังราวกับเป็นคนละคนกับที่เคยหัวเราะในตอนแรก ทำไมต้องเป็นสงคราม? "เพราะยังเป็นคำตอบที่เรายังได้ไม่ครบถ้วน" คำตอบที่ว่าด้วยการดำรงอยู่ของมนุษย์ในวงจรแห่งความรุนแรงที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน
เหมือนคนทำวิทยานิพนธ์ค้างคา วรรณสิงห์รู้สึกว่าหัวข้อเรื่องนี้ยังไม่จบ ถ้าจะก้าวต่อไปในฐานะคนทำงานสารคดี เขาต้องหาคำตอบให้ได้ ไม่ใช่เรื่องของสงคราม แต่เป็น "เรื่องของความเป็นคน" ที่เขารู้สึกว่าได้เห็นชัดเจนที่สุดในประเทศที่ถูกทำลายด้วยสงคราม การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้เริ่มต้นเพื่อเป็นซีรีส์ใหม่ แต่เพื่อ "ฮีล" ตัวเอง และอาจจะได้งานสักชิ้นสองชิ้นกลับมา
การเดินทางเริ่มขึ้นเมื่อเขาหาวิธีไปยูเครน โดยต้องสมัครขออนุญาตจากกองทัพยูเครน และรอการตอบกลับทางอีเมลนานถึง 4-5 เดือน เมื่อได้เข้าไปถ่ายทำเรื่องหนึ่งกลับมา เขากลับพบว่ายังมีเรื่องราวอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกันข้ามประเทศ เป็นเรื่องราวของวงจรชีวิตมนุษย์โดยรวม และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาตัดสินใจทำสารคดีชุดนี้ขึ้นมา
เมื่อถูกถามถึงการเข้าไปใน "แนวหน้า" ของสงคราม วรรณสิงห์อธิบายว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่ใครหลายคนคิด แนวหน้าเองก็มีหลายระดับ ที่ที่เขาไปนั้นยังเป็นแนวหลังอยู่ คือมีการยิงปืนครกและขีปนาวุธข้ามไปมา แต่ยังไม่ได้เป็นการปะทะกันแบบประชิดตัว แต่เขาก็ได้ลงไปอยู่ในสนามเพลาะที่ขุดดินลงไปพร้อมกับทหาร และเข้าไปในเมืองที่ยังมีการสู้รบตามอาคารบ้านเรือนพร้อมกับตำรวจและทหารที่ตรวจค้นตามบ้านเรือนต่างๆ
"มีแนวหน้าที่ยิงกันต่อหน้าเลย อันนั้นผมยังไม่ถึง" เขาบอกพร้อมรอยยิ้มอย่างคนที่มีสติและไม่ประมาท วรรณสิงห์ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนทางทหารแบบจริงจัง และรู้ดีว่าถ้าเข้าไปในระดับนั้นโดยไม่มีการฝึกฝนก็เท่ากับ "ตาย" แน่นอนว่าทหารคงไม่ปล่อยให้เขาไปกับทีมจู่โจมอยู่แล้ว
คำถามที่น่าสนใจกว่าคือ "คุณดีลกับทางบ้านยังไง?" โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องบอกว่ากำลังจะไปแนวหน้า คำตอบที่ได้ทำให้เราได้เห็นแง่มุมความสัมพันธ์ของเขากับครอบครัว ที่ลึกซึ้งและเข้าใจกันเกินกว่าที่คนทั่วไปจะคิด
"ถ้าจะมีสักบ้านที่เข้าใจว่าเราจะไปทำไม ก็น่าจะเป็นบ้านนี้แหละ (หัวเราะ)" เขาอธิบายว่าพ่อแม่ของเขาเคยเป็นนักรบมาก่อน เคยจับปืนต่อสู้กับรัฐบาลและใช้ชีวิตอยู่ในป่ากับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเป็นเวลา 6 ปี พวกท่านจึงเข้าใจดีว่าการเข้าไปในพื้นที่เหล่านี้ไม่ใช่แค่การเอาชีวิตไปเสี่ยงตาย แต่มันมี "ความหมาย" อะไรบางอย่าง การสนทนาอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อมีพ่อและแม่ที่เข้าใจในสิ่งที่เขาทำอย่างลึกซึ้ง มันก็ช่วยคลายความกังวลไปได้มาก
ในวันนี้ เขาไปทำงานด้วยความตั้งใจ และกังวลเรื่องคนทางบ้านมากขึ้นกว่าแต่ก่อน "เมื่อก่อนไปคือแบบ สบายๆ" เขาหัวเราะ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าชีวิตไม่ใช่ของเขาคนเดียว แต่เป็นของทุกคนรอบตัว แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้าไม่ได้ทำสารคดีชิ้นนี้ เขาจะไม่มีทางก้าวต่อไปในชีวิตได้เลย นั่นทำให้เขาต้องรักษาสมดุลระหว่างการค้นหาตัวเองกับการดูแลความรู้สึกของคนรอบข้าง ซึ่งเขายอมรับว่ามันเป็นภาระทางใจสำหรับครอบครัวมาก และเขาก็ตั้งใจว่าเมื่อถึงวันที่ได้คำตอบกับตัวเองแล้ว เขาจะยินดีวางสิ่งเหล่านี้ลงและใช้ชีวิตอย่างสงบ
ซีรีส์สารคดีชุดนี้ได้เปลี่ยนวิธีการมองโลกของเขาไปอย่างสิ้นเชิง จุดประสงค์แรกคือการ "ปะติดปะต่อชิ้นส่วนของตัวเองขึ้นมาใหม่" ซึ่งเขาบอกว่าได้บรรลุไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนจุดประสงค์ที่สองคือการ "เล่าเรื่อง" ที่ไม่ใช่แค่เรื่องราวการเมืองหรือสงคราม แต่เป็นเรื่องราวของ "มนุษยชาติ" และความสัมพันธ์ของเรากับความรุนแรง ซึ่งเขาหวังว่างานจะสามารถสื่อสารข้อความนี้ไปถึงผู้ชมได้
ในอดีต วรรณสิงห์คือ "นักเดินทาง" ที่เอาประสบการณ์นำหน้า ตื่นเต้นกับการได้เห็นสถานที่ใหม่ๆ และมักจะเล่าความรู้สึกส่วนตัวลงในงาน แต่ตลอดสามปีที่ผ่านมา เขารู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปเกือบ 100% จากนักเดินทางกลายเป็น "นักทำสารคดี" ที่มุ่งเน้นการเล่าเรื่องราวเป็นหลัก
"ไม่ได้อยากมีประสบการณ์ใหม่แล้ว" เขาบอกตรงๆ "หลักๆ คืออยากเล่าเรื่อง" ถ้าเรื่องราวอยู่ที่ไหน เขาก็พร้อมจะไปอยู่ที่นั่นเพื่อถ่ายทอดมันออกมา การเล่าเรื่องแบบใหม่นี้เน้นการใช้ภาพ เสียง และบรรยากาศ เพื่อให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกแทนที่จะเป็นการเล่าด้วยคำพูดมากเกินไป เขาถือคติว่า "ถ้าอะไรโชว์แล้ว ไม่ต้องพูดก็เก็ต" และงานที่ออกมาจะต้องสื่อสารอารมณ์ได้เหมือนกับเวลาที่ดูภาพยนตร์
นอกจากนี้ เขายังเปลี่ยนมุมมองเรื่อง "Activism" ที่เคยเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของเขาในวัยหนุ่ม จากที่เคยคิดว่าการทำงานต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงให้สังคม เขากลับมองว่าตอนนี้หน้าที่ของเขาคือ "การเล่าเรื่อง" ให้ดีที่สุดก็พอแล้ว "ถ้าแค่ Message ของผมถึงคนดู แล้วเค้าเกิดอารมณ์อะไรขึ้นบางอย่าง ผมถือว่า Mission ผมจบละ ที่เหลือเค้าอยากทำอะไรเกี่ยวกับมันก็แล้วแต่เลย" เขาบอกด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย นั่นทำให้ความหนักที่เคยแบกเอาไว้หายไป เพราะเขาไม่ได้รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมอีกต่อไป
เมื่อถูกถามถึงความรู้สึกเมื่อเห็นความขัดแย้งในประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างไทย-กัมพูชาเกิดขึ้น เขายอมรับว่าความรู้สึกแรกคือ "เฮ้ย เอาจริงดิ" หลังจากที่ได้เห็นวงจรแห่งความรุนแรงทั่วโลกมาแล้ว ความคิดแรกคือเราควรหยุดทำสิ่งนี้ไว้ก่อนดีไหม แต่เมื่อคิดอีกที เขากลับมองว่านี่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดที่จะปล่อยงานชุดนี้ออกมา เพราะมันจะทำให้ผู้ชมรู้สึกเชื่อมโยงกับเรื่องราวที่เคยดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัวได้มากขึ้น
วรรณสิงห์มองว่าความขัดแย้งไม่ใช่แค่เรื่องของดีหรือเลว แต่เป็นเรื่องของ "ความเป็นคน" และความทุกข์ยากที่นำไปสู่ความเกลียดชังและการแบ่งแยกในสังคม "ถ้า Message ที่อยู่ในนี้มันสามารถนำไปสู่ความเข้าใจอะไรบางอย่าง ทั้งกับตัวเองและกับมนุษย์ที่เหลือทั้งหมดได้เนี่ย เราก็จะรู้สึกว่าโอเค สิ่งที่เราตั้งใจไว้ตอนแรกมันไปถึง" เขาบอก
ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดในมุมมองของเขาคือ เมื่อความรุนแรงกลายเป็นความบันเทิงที่ดูได้ง่ายๆ ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งจะทำให้สังคมมีความรู้สึก Sensitive ต่อความรุนแรงน้อยลงเรื่อยๆ "มันเปลี่ยนจากสิ่งที่น่าหวาดผวา บางครั้งเกือบกลายเป็นความบันเทิงไปแล้ว" เขาเตือนให้เราเห็นถึงอันตรายของการสร้างศัตรูขึ้นมาเพื่อรวมกลุ่มของตัวเอง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เขาเห็นมาแล้วในหลายประเทศ และเป็นต้นเหตุของความรุนแรงที่นำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
เขาเน้นย้ำว่า "สื่อ" มีบทบาทในการสร้างเรื่องราวเหล่านี้ และผู้รับสารก็มีส่วนร่วมด้วยเพราะสื่อมักจะนำเสนอสิ่งที่คนอยากได้ยิน และสิ่งที่คนอยากได้ยินมักจะเป็นเรื่องราวเชิงลบที่ช่วยเสริมอัตตาในจิตใจว่า "โลกผิด ไม่ใช่เรา" เขายอมรับว่างานของเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของวงจรนี้ แต่เขาพยายามที่จะไม่ใส่ "ความเกลียดชัง" ลงไปในเรื่องราว
"โลกที่ไร้การทะเลาะเบาะแว้งเป็นไปไม่ได้" วรรณสิงห์กล่าว "แต่มันควรไปอยู่ในรูปแบบกีฬา รูปแบบเรียลลิตี้โชว์ ที่ไม่ต้องยิงกันจริงๆ" เขาเชื่อว่าต้นเหตุของสงครามมาจาก "ความขาดแคลน" ที่ถูกเคลือบด้วยอุดมการณ์ ความเชื่อ หรือชาตินิยม โดยมีผู้มีอำนาจใช้ประโยชน์จากความขาดแคลนนั้นเพื่อปลุกระดมผู้คนให้เข่นฆ่ากัน ซึ่งเป็นวงจรที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดประวัติศาสตร์มนุษย์
เขายกตัวอย่างสถานการณ์ในคองโก ที่การสู้รบของกลุ่มติดอาวุธกว่า 200 ฝ่าย มีเบื้องหลังมาจากการแย่งชิงแร่สำคัญอย่าง 'แร่โคลตัน' และ 'แร่ลิเทียม' ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เมื่อโลกเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปมาเป็นรถยนต์ EV พื้นที่เหล่านี้ก็กลายเป็น "ตะวันออกกลางแห่งใหม่" และวงจรแห่งการแย่งชิงทรัพยากรก็ยังคงดำเนินต่อไป
แม้จะดูเหมือนโลกนี้ไม่มีทางยุติสงครามได้ แต่เขาก็ยังคงมีความหวัง เขาเชื่อว่า "ความหวัง" เป็นสิ่งที่คนในพื้นที่สงครามต้องมีเพื่อจะอยู่รอดต่อไปได้ อย่างเพื่อนบ้านของเราอย่างพม่าที่สู้รบกันมา 76 ปี หลายคนไม่เคยรู้จักความสงบเลย ความหวังของเขาอาจจะเป็นแค่ "พรุ่งนี้อาจจะได้อะไรกินแล้ว" ซึ่งเป็นความหวังที่แตกต่างจากเราที่อยู่ในที่ที่สงบสุข
เขาหวังว่าการได้เห็นความจริงที่โหดร้ายเหล่านี้จะทำให้คนเรากลับมามอง "ความเป็นคน" ที่ลึกซึ้งกว่าเดิม และละทิ้งอคติและความเกลียดชังลงไปให้ได้ เขายกตัวอย่างที่น่าประทับใจเมื่อไปถ่ายทำที่ซีเรีย ที่บ้านหลังหนึ่งยังคงยืนหยัดอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง และเจ้าของบ้านยังคงกลับไปปลูกต้นไม้รดน้ำทุกวัน นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราได้เห็นว่ามนุษย์นั้นมีความสามารถในการสร้างความหวังแม้ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังที่สุด
ในตอนท้ายของการสนทนา วรรณสิงห์ตอบคำถามที่ว่า "จบซีรีส์นี้แล้วจะเอาไงต่อ?" ด้วยคำตอบที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง "ผมจะนอนครับผม" เขาหัวเราะ แต่ก็ยอมรับว่าสามปีที่ผ่านมานั้นเหนื่อยมาก การทำงานในระดับนี้ต้องใช้พลังงานมหาศาล และเขาไม่ปฏิเสธที่จะกลับมาทำอีก แต่ต้องเป็นเมื่อพลังและแรงบันดาลใจนั้นกลับมาอย่างเป็นธรรมชาติ
สิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้คือการวางทุกอย่างลง และก้าวสู่บทต่อไปของชีวิต คือการเป็นพ่อคนและมีครอบครัว เขาบอกว่าเขา "ยินดีวางมันลงจริงๆ" เรื่องราวของการเสี่ยงตายเพื่อพิสูจน์คุณค่าของตัวเองนั้นจะจบลงแล้ว และเขาจะหาเรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจแต่ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายมาเล่าแทน
"ผมไม่ได้มองตัวเองเป็นสื่อขนาดนั้น ผมมองตัวเองเป็นนักเล่าเรื่อง" เขากล่าว และเชื่อว่าหน้าที่ของเขาคือการนำเรื่องราวที่มีคุณค่าไปส่งต่อให้ผู้ชมได้สัมผัสและสะท้อนกลับมาที่ตัวเอง "เพราะสุดท้ายแล้ว ประวัติศาสตร์ไม่ได้มีแค่เรื่องของรัฐ แต่ยังมีประวัติศาสตร์ของคนธรรมดาที่ดำเนินต่อไปในทุกช่วงเวลา"
เขาทิ้งท้ายด้วยความหวังว่า หากทุกคนสามารถมองเห็นความเป็นคนในตัวผู้อื่นได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น โลกนี้ก็อาจจะเบาขึ้นจากอคติและความเกลียดชัง และนั่นคือสิ่งที่เขาทำผ่านงานสารคดีชุดนี้ เพื่อที่จะได้ "วาง" มันลงและเติบโตต่อไปในชีวิตในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่ได้พบคำตอบที่ตามหามานานแล้ว