SHORT CUT
ยูโรไมดาน ปฏิวัติศักดิ์ศรี เพื่อยุโรป! แต่รัสเซียกลับอ้าง "รัฐประหาร" จุดชนวนยึดไครเมีย ดอนบัส สู่สงคราม 2022
เพื่อนๆ เคยสงสัยไหมว่า อะไรคือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งที่ลุกลามใหญ่โตในยูเครนในปัจจุบัน? เรื่องราวที่เรากำลังจะเล่าให้ฟังไม่ใช่เพียงแค่การเดินขบวนทางการเมือง แต่เป็นเรื่องราวของประชาชนที่ลุกขึ้นสู้เพื่อกำหนดอนาคตของตัวเอง การปฏิวัติครั้งนี้เป็นเหตุการณ์สำคัญที่เปลี่ยนโฉมหน้าของยูเครนและยุโรปไปตลอดกาล ซึ่งในยูเครนเอง พวกเขาเรียกมันว่า "การปฏิวัติแห่งศักดิ์ศรี" (Revolution of Dignity)
ย้อนกลับไปในเดือนพฤศจิกายน 2013 ยูเครนกำลังยืนอยู่บนทางแยกที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ระหว่างการก้าวไปสู่การเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป (EU) หรือการหันกลับไปหาอิทธิพลของรัสเซีย ประธานาธิบดีในขณะนั้นคือ วิกเตอร์ ยานูโควิช ผู้นำที่มาจากพรรคโปร-รัสเซีย ซึ่งมีนโยบายที่ใกล้ชิดกับเครมลิน แต่การตัดสินใจของเขานอกเหนือจากที่ประชาชนคาดหวัง ได้จุดชนวนให้เกิดการประท้วงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในกรุงเคียฟ เมืองหลวงของประเทศ
เพื่อจะทำความเข้าใจเรื่องราวในยูเครน เราต้องย้อนกลับไปมองประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ที่ทำให้ผู้คนในชาตินี้ไม่ได้เป็น "หนึ่งเดียวกัน" ยูเครนตะวันตก โดยเฉพาะภูมิภาคที่อยู่ใกล้กับโปแลนด์และยุโรป มีประวัติศาสตร์ที่แยกจากรัสเซียอย่างชัดเจน และมองว่าอัตลักษณ์ของตนเองนั้นแตกต่างจากเพื่อนบ้านผู้ยิ่งใหญ่ ในทางกลับกัน ยูเครนตะวันออก ภาคใต้ และคาบสมุทรไครเมียมีความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับรัสเซีย ทั้งในแง่ของชาติพันธุ์ ภาษา และวัฒนธรรม
ความแตกต่างทางมุมมองนี้ทำให้เกิดการแบ่งขั้วทางการเมืองอย่างชัดเจนในยูเครน ในขณะที่ชาวยูเครนส่วนใหญ่ในภาคตะวันตกใฝ่ฝันถึงการเป็นส่วนหนึ่งของยุโรปและมีวิถีชีวิตแบบตะวันตก การเมืองในประเทศกลับถูกครอบงำโดยผู้นำที่ได้รับแรงสนับสนุนจากภูมิภาคตะวันออก ซึ่งมองว่าอนาคตของประเทศควรจะผูกติดกับรัสเซีย การปะทะกันทางอัตลักษณ์และทิศทางของชาตินี้ได้กลายเป็นรากฐานที่เปราะบางที่สุดของการเมืองยูเครน ซึ่งพร้อมจะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อเมื่อมีแรงกระตุ้นที่เหมาะสม
ในปี 2013 รัฐบาลยูเครนภายใต้การนำของประธานาธิบดียานูโควิชได้เตรียมการมานานเพื่อลงนามใน "ข้อตกลงสมาคม (Association Agreement)" กับสหภาพยุโรป ข้อตกลงนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการสร้างความร่วมมือทางการเมือง แต่ยังรวมถึงเขตการค้าเสรี (Deep and Comprehensive Free Trade Agreement) ซึ่งจะเปิดตลาดขนาดใหญ่ที่สุดในโลกให้แก่ยูเครน อย่างไรก็ตาม การลงนามไม่ได้มาแบบเปล่า ๆ แต่มีเงื่อนไขสำคัญคือยูเครนจะต้องปฏิรูปประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม รวมถึงการปล่อยตัวผู้นำฝ่ายค้าน ยูเลีย ตีโมเชนโก
ทันทีที่รัสเซียเห็นว่ายูเครนกำลังจะก้าวเข้าสู่วงโคจรของยุโรป พวกเขาก็เริ่มใช้มาตรการตอบโต้ที่รุนแรง รัสเซียขู่ว่าจะใช้มาตรการลงโทษทางการค้าที่อาจทำให้ยูเครนต้องสูญเสียรายได้จากการส่งออกมากถึง 35,000 ล้านยูโร และยังยื่นข้อเสนอที่ "ดูจะคุ้มค่า" กว่ามากในระยะสั้น
วลาดีมีร์ ปูติน เสนอเงินอุดหนุน การยกหนี้ และส่วนลดค่าก๊าซมูลค่าหลายพันล้านยูโรให้แก่รัฐบาลยูเครน การกระทำนี้ทำให้ประธานาธิบดียานูโควิชตัดสินใจระงับการลงนามในข้อตกลงกับสหภาพยุโรปอย่างกะทันหัน
การตัดสินใจนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนใจ แต่เป็นผลจากการคำนวณต้นทุน-ผลประโยชน์ที่รัฐบาลยานูโควิชเห็นว่าข้อเสนอที่จับต้องได้จากรัสเซียในระยะสั้นนั้นมีมูลค่าสูงกว่าคำสัญญาที่จับต้องไม่ได้จากยุโรป การกระทำที่สวนทางกับเจตนารมณ์ของประชาชนอย่างสิ้นเชิงนี้เองที่กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ความไม่พอใจที่สั่งสมมาปะทุขึ้นในจัตุรัสไมดาน
การประท้วงไม่ได้เริ่มต้นด้วยการวางแผนอย่างยิ่งใหญ่ แต่เป็นไปอย่างเรียบง่ายในคืนวันที่ 21 พฤศจิกายน 2013 เมื่อผู้ประท้วงเพียงประมาณ 2,000 คน ที่ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนนักศึกษา ใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือหลักในการรวมตัวกันที่จัตุรัสไมดาน เนซาเลซนอสติ พวกเขาร้องเพลงชาติและตะโกนคำขวัญว่า "ยูเครนคือยุโรป" การชุมนุมในช่วงแรกยังคงเป็นไปอย่างสันติ และดูเหมือนจะเป็นเพียงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น
เช้ามืดของวันที่ 30 พฤศจิกายน 2013 เกิดเหตุการณ์ที่เปลี่ยนทิศทางของการประท้วงไปตลอดกาลหน่วยตำรวจพิเศษ Berkut เข้าสลายการชุมนุมอย่างโหดเหี้ยมด้วยกระบอง ระเบิดแสง และแก๊สน้ำตา
การกระทำที่รุนแรงและป่าเถื่อนนี้ทำให้ประชาชนจำนวนมากรู้สึกโกรธแค้น เหตุการณ์นี้ทำให้เป้าหมายของการประท้วงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่เรียกร้องให้รัฐบาลลงนามในข้อตกลงกับสหภาพยุโรป กลายเป็นความโกรธแค้นที่สั่งสมมานานจากปัญหาการคอร์รัปชัน การละเมิดสิทธิมนุษยชน และความอยุติธรรมในชีวิตประจำวัน
ผู้คนนับแสนจึงหลั่งไหลเข้าสู่จัตุรัสไมดานในอีกไม่กี่วันต่อมา ทำให้การประท้วงขยายวงจากหลักพันเป็นหลักแสนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
การที่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ด้วยกำลังได้ จึงหันไปใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อปราบปรามขบวนการภาคประชาสังคม ในวันที่ 16 มกราคม 2014 รัฐสภาได้ผ่านชุดกฎหมายที่รู้จักกันในนาม "กฎหมายเผด็จการ" (Dictatorship Laws)
กฎหมายเหล่านี้จำกัดสิทธิในการชุมนุมอย่างรุนแรง โดยกำหนดโทษจำคุกสำหรับผู้ที่ปิดกั้นอาคารรัฐบาล หรือแม้กระทั่งการขับรถมากกว่า 5 คันในขบวนแห่ นอกจากนี้ รัฐบาลยังใช้อันธพาลรับจ้างที่เรียกว่า "Titushky" (Titushky) เข้ามาก่อกวนและทำร้ายผู้ประท้วง การประกาศใช้กฎหมายเหล่านี้แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลยานูโควิชได้ละทิ้งกระบวนการทางประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง และพยายามใช้การปราบปรามอย่างเปิดเผย ซึ่งเป็นจุดที่ความขัดแย้งเปลี่ยนจากความตึงเครียดทางการเมืองไปสู่การต่อสู้เพื่อการดำรงอยู่ของระบอบประชาธิปไตย
ในช่วงวันที่ 18-20 กุมภาพันธ์ 2014 สถานการณ์ในกรุงเคียฟได้ทวีความรุนแรงขึ้นถึงขีดสุด ผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่ตำรวจปะทะกันอย่างดุเดือด สิ่งที่น่าสะเทือนใจที่สุดคือการที่สไนเปอร์เริ่มยิงเข้าใส่ผู้ประท้วงจากตึกสูงรอบๆ จัตุรัส มีผู้เสียชีวิตฝ่ายผู้ประท้วงเกือบ 100 คน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ 13 นายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ ผู้เสียชีวิตเหล่านี้ได้รับการยกย่องจากชาวยูเครนว่า "ร้อยวีรชนสวรรค์" (The Heavenly Hundred)
การสืบสวนเบื้องต้นของรัฐบาลใหม่ยูเครนในเดือนเมษายน 2014 ระบุว่าหน่วยตำรวจพิเศษ Berkut มีส่วนรับผิดชอบต่อการยิงสังหารผู้ประท้วง นอกจากนี้ ยังมีรายงานที่ชี้ว่าหน่วยข่าวกรองของรัสเซีย (FSB) ได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการปราบปรามด้วย
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่น่ากังวลและขัดแย้งกันอย่างมากได้ถูกนำเสนอในงานวิจัยบางชิ้นมีการระบุว่าผลการชันสูตรและวิถีกระสุนของผู้ประท้วงส่วนใหญ่มาจากทิศทางที่สูงชันจากด้านข้างและด้านหลัง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายผู้ประท้วงเองมีการกล่าวอ้างจากผู้ประท้วงบางส่วนว่าเห็นสไนเปอร์อยู่บนอาคารที่ฝ่ายตนเองควบคุม และนักเคลื่อนไหวบางคนก็ยอมรับว่าได้ยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเป็นการตอบโต้
ความไม่ลงรอยของข้อมูลเหล่านี้ได้ทำให้เหตุการณ์นี้ยังคงเป็นปริศนา และกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำ "สงครามข้อมูล" แต่ละฝ่ายใช้เรื่องเล่าของตนเองเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่การกระทำของตัวเอง และการกล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นผู้เริ่มต้นความรุนแรง เพื่อใช้เป็นข้ออ้างสำหรับการกระทำในอนาคต
โศกนาฏกรรม "ร้อยวีรชนสวรรค์" ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ประธานาธิบดียานูโควิชไม่สามารถควบคุมประเทศได้อีกต่อไป และตัดสินใจหลบหนีออกจากกรุงเคียฟในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2014
เขาได้ลี้ภัยไปยังรัสเซียและกล่าวขอบคุณประธานาธิบดีปูตินที่ "ช่วยชีวิต" เขาไว้การหนีของเขาทำให้เกิด "สุญญากาศทางการเมือง" ในยูเครนทันที รัฐสภาจึงต้องลงมติอย่างรวดเร็วเพื่อถอดถอนเขาออกจากตำแหน่งและจัดตั้งรัฐบาลรักษาการ
ในมุมมองของรัสเซีย การกระทำของรัฐสภานี้ไม่ใช่การเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างถูกกฎหมาย แต่เป็นการ "รัฐประหาร" ที่ชาติตะวันตกอยู่เบื้องหลังซึ่งเป็นข้ออ้างสำคัญที่พวกเขาจะใช้ในการเข้าแทรกแซงในอีกไม่กี่วันต่อมา
หลังการล่มสลายของรัฐบาลยานูโควิช รัฐบาลใหม่ได้เข้ากอบกู้สถานการณ์และดำเนินการตามเจตนารมณ์ของประชาชนในจัตุรัสไมดานทันที สิ่งที่เกิดขึ้นคือการปล่อยตัวอดีตนายกรัฐมนตรี ยูเลีย ตีโมเชนโก ออกจากเรือนจำและมีการกลับไปใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2004 เพื่อลดอำนาจของประธานาธิบดีลง
รัฐบาลรักษาการยังได้เดินหน้าเตรียมการลงนามในข้อตกลงสมาคมกับสหภาพยุโรปอีกครั้งชัยชนะครั้งนี้ทำให้ยูเครนสามารถก้าวเดินบนเส้นทางสู่ประชาธิปไตยได้อย่างเต็มตัว แต่การเฉลิมฉลองก็เป็นไปได้ไม่นานนัก
การปฏิวัติในกรุงเคียฟได้กลายเป็นข้ออ้างให้รัสเซียเริ่มแผนการที่เตรียมไว้สำหรับคาบสมุทรไครเมีย เพียงหนึ่งวันหลังจากที่ยานูโควิชถูกถอดถอนจากตำแหน่ง กองกำลังติดอาวุธโปรรัสเซียก็เริ่มเข้ายึดอาคารสำคัญของรัฐบาลในไครเมีย ซึ่งมีประชากรเชื้อสายรัสเซียเป็นส่วนใหญ่ รัสเซียได้ส่งกองกำลังทหารของตนเข้าควบคุมพื้นที่สำคัญและจัดการลงประชามติในวันที่ 16 มีนาคม 2014 ซึ่งผลออกมาว่าชาวไครเมียกว่า 97% ต้องการผนวกเข้ากับรัสเซีย
การกระทำนี้ถูกยูเครนและชาติตะวันตกประณามว่าผิดกฎหมาย การผนวกไครเมียไม่ใช่แค่ผลกระทบเล็กน้อยจากการปฏิวัติ แต่เป็นการฉวยโอกาสอย่างรวดเร็วของรัสเซียจาก "สุญญากาศทางการเมือง" ที่เกิดขึ้นหลังการล่มสลายของรัฐบาลยานูโควิช
หลังจากผนวกไครเมีย รัสเซียได้ใช้ยุทธวิธีที่ซับซ้อนกว่าเดิมในภูมิภาคดอนบัสทางตะวันออกของยูเครน การประท้วงต่อต้านการปฏิวัติและสนับสนุนรัสเซียได้เกิดขึ้นในเมืองใหญ่ๆ อย่างโดเนตสค์และลูฮานสค์ ในเดือนเมษายน 2014 กองกำลังกึ่งทหารที่นำโดยพลเมืองรัสเซียได้เข้ายึดเมืองหลายแห่งในดอนบัส
แม้รัสเซียจะอ้างว่าความขัดแย้งในดอนบัสเป็น "สงครามกลางเมือง" ระหว่างรัฐบาลยูเครนกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนแต่หลักฐานที่รั่วไหลออกมาได้เปิดเผยว่ารัฐบาลรัสเซียเป็นผู้ให้การสนับสนุนด้านการเงินและอาวุธยุทโธปกรณ์แก่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนอย่างลับๆ การใช้ "สงครามผสมผสาน" (Hybrid Warfare) ในดอนบัสนี้มีเป้าหมายเพื่อบ่อนทำลายเสถียรภาพของยูเครน และขัดขวางการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปและ NATO ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของนโยบายต่างประเทศของเครมลิน
สำหรับรัฐบาลรัสเซียและสื่อในประเทศ เหตุการณ์ไมดานไม่ใช่การปฏิวัติโดยประชาชน แต่เป็น "การรัฐประหาร" ที่จัดฉากโดยชาติตะวันตก พวกเขายืนกรานว่าการล่มสลายของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของยานูโควิชเป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรมและมี "กลุ่มชาตินิยม" และ "นีโอนาซี" เข้ามามีส่วนร่วมในการใช้ความรุนแรง การสร้างเรื่องเล่านี้ไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบของตนเอง แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายต่างประเทศ การกล่าวหาเรื่อง "นีโอนาซี" ถูกนำมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในฐานะข้ออ้างหลักที่ปูตินใช้ในการรุกรานยูเครนอย่างเต็มรูปแบบในปี 2022 โดยอ้างว่าเป็น "ปฏิบัติการปลดปล่อยยูเครนจากลัทธินาซี"
ในขณะที่นักวิชาการกำลังถกเถียงเรื่องภูมิรัฐศาสตร์และสงครามข้อมูล สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรู้สึกของประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์ การปฏิวัติยูโรไมดานเป็นเพียงการประท้วงที่จุดประกายด้วยการเมือง แต่แรงขับเคลื่อนที่ทำให้มันดำเนินต่อไปได้คือความต้องการใน "ศักดิ์ศรี" และการต่อสู้กับ "ความอยุติธรรมในชีวิตประจำวัน" ผู้คนเบื่อหน่ายกับปัญหาคอร์รัปชันที่แพร่หลาย
ตั้งแต่การต้องติดสินบนเพื่อให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดี ไปจนถึงการต้องจ่ายเงินให้แพทย์เพื่อให้ได้นัดตรวจ เรื่องราวจากผู้เข้าร่วมการประท้วงคนหนึ่งที่บอกว่าเขาไปไมดานเพราะ "ลูกชายของผมเพิ่งเกิด และผมอยากให้เขาได้อยู่ในประเทศที่ปกติเหมือนคนปกติทั่วไป" สะท้อนให้เห็นว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องนามธรรม แต่เป็นเรื่องของอนาคตที่ดีกว่าของประชาชนธรรมดา
จะเห็นได้ว่าการปฏิวัติยูโรไมดานเป็นเหตุการณ์ที่ซับซ้อนและมีหลากหลายมุมมอง มันไม่ใช่เพียงการปลดแอกยูเครนจากรัฐบาลที่ฝักใฝ่รัสเซีย แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ครั้งใหม่เพื่อกำหนดอัตลักษณ์และทิศทางของชาติอย่างแท้จริง
ในมุมมองของชาวยูเครนการปฏิวัตินี้คือการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีและอนาคตในแบบที่พวกเขาเลือกเอง แต่สำหรับรัสเซีย เหตุการณ์นี้คือการรัฐประหารที่เปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าแทรกแซงและอ้างสิทธิ์ในดินแดนของยูเครน
ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในจัตุรัสไมดานในปี 2014 ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสงครามในปัจจุบัน การผนวกไครเมียและสงครามในดอนบัสคือผลลัพธ์โดยตรงที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากการล่มสลายของรัฐบาลยานูโควิช
ดังนั้น การรุกรานยูเครนในปี 2022 จึงไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่เป็นการต่อสู้ในระลอกที่สองที่เริ่มต้นมาตั้งแต่แปดปีก่อนหน้านี้แล้ว และยังคงดำเนินต่อไปจนถึงทุกวันนี้. เรื่องราวของไมดานจึงเป็นบทเรียนที่สำคัญว่าการต่อสู้เพื่ออิสรภาพและอนาคตของประเทศบางครั้งอาจไม่ใช่แค่การต่อสู้ในสนามรบ แต่เป็นการต่อสู้ที่ต้องใช้หัวใจและศักดิ์ศรีเข้าแลก
อ้างอิง
OpenSociety / BBC / Chula / Prachathai / Prachathai2 / MG1 / MG2 / PP1 / PP2 /