svasdssvasds

ทรัมป์ ถก ปูติน 3 ชั่วโมง ผลลัพธ์ดี แต่ไม่มีการบรรลุข้อตกลงใดๆ ประเด็นขัดแย้งยูเครน

ทรัมป์ ถก ปูติน 3 ชั่วโมง ผลลัพธ์ดี  แต่ไม่มีการบรรลุข้อตกลงใดๆ  ประเด็นขัดแย้งยูเครน

ทรัมป์-ปูติน ผู้นำสองชาติยักษ์ใหญ่ของโลก หารือราว 3 ชั่วโมง ที่ Alaska ผู้นำสหรัฐเผยได้ผลลัพธ์ที่ดีและมีความคืบหน้า แต่ยังไม่บรรลุข้อตกลงยุติสงครามยูเครน

SHORT CUT

  • การประชุมนานเกือบ 3 ชั่วโมงระหว่างทรัมป์และปูตินจบลงด้วยถ้อยแถลงที่เป็นบวกจากทั้งสองฝ่าย แต่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงหรือข้อตกลงที่เป็นรูปธรรมใดๆ เกี่ยวกับความขัดแย้งในยูเครนได้
  • ทรัมป์ ซึ่งต้องการสวมบทบาท "ผู้สร้างสันติภาพ" กลับไปมือเปล่า ในขณะที่ปูตินถูกมองว่าเป็นผู้ชนะทางการทูตที่สามารถยกระดับสถานะของรัสเซียในเวทีโลกได้โดยไม่ต้องยอมเสียผลประโยชน์ใดๆ
  • สำหรับยูเครนและพันธมิตร ผลลัพธ์ที่ไม่มีข้อตกลงถือเป็นความโล่งใจในระยะสั้น แต่ก็สร้างความกังวลว่ารัสเซียอาจตีความว่าเป็นการได้รับ "ไฟเขียว" ให้เดินหน้าปฏิบัติการทางทหารต่อไป

ทรัมป์-ปูติน ผู้นำสองชาติยักษ์ใหญ่ของโลก หารือราว 3 ชั่วโมง ที่ Alaska ผู้นำสหรัฐเผยได้ผลลัพธ์ที่ดีและมีความคืบหน้า แต่ยังไม่บรรลุข้อตกลงยุติสงครามยูเครน

การจับมืออันอบอุ่นระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ  และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย จุดประกายความหวังอันริบหรี่ให้กับสันติภาพที่ดูเหมือนจะห่างไกลในยูเครน แต่หลังจากการหารือที่ยาวนานเกือบสามชั่วโมง โลกได้เห็นถึงความเป็นจริงอันซับซ้อน: ถ้อยแถลงที่เป็นบวกสวนทางกับผลลัพธ์ที่ว่างเปล่า การประชุมสุดยอดที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดนี้จบลงโดยไม่มีข้อตกลงหยุดยิงใดๆ ทิ้งไว้เพียงคำถามสำคัญว่าหนทางข้างหน้าของสงครามที่ยืดเยื้อกว่าสามปีครึ่งจะเป็นอย่างไรต่อไป

ที่มาของการเดิมพันครั้งใหญ่ที่อลาสกา 

การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นจากความพยายามของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะสวมบทบาท "ผู้สร้างสันติภาพ" (Peacemaker) บนเวทีโลก ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่เขาต้องการมาเสมอ การเลือก Alaska เป็นสถานที่พบปะ ซึ่งเป็นดินแดนที่สหรัฐฯ เคยซื้อมาจากรัสเซียในศตวรรษที่ 19 ถือเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานและความตึงเครียดในปัจจุบันของทั้งสองมหาอำนาจ

ทรัมป์ ถก ปูติน 3 ชั่วโมง ผลลัพธ์ดี  แต่ไม่มีการบรรลุข้อตกลงใดๆ  ประเด็นขัดแย้งยูเครน Credit ภาพ AFP

สำหรับทรัมป์ การเจรจานี้คือการเดิมพันครั้งสำคัญ เขามองว่าสัญชาตญาณและศิลปะการเจรจาของตนเองสามารถทลายกำแพงที่นักการทูตอาชีพทำไม่สำเร็จได้ โดยประกาศก่อนการประชุมว่ามีโอกาสล้มเหลวเพียง 25%

ในทางตรงกันข้าม , วลาดิเมียร์ ปูติน เดินทางมาอลาสกาด้วยเป้าหมายที่ต่างออกไป เขาต้องการใช้เวทีนี้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่รัสเซียในเวทีโลก ตอกย้ำสถานะมหาอำนาจที่ทัดเทียมกับสหรัฐฯ และที่สำคัญที่สุดคือการต่อรองเงื่อนไขที่จะทำให้รัสเซียสามารถรักษาพื้นที่ยึดครองในยูเครนไว้ได้ พร้อมกับขัดขวางความพยายามของยูเครนในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโตอย่างถาวร

การที่ผู้นำยูเครนและชาติยุโรปไม่ได้รับเชิญ ยิ่งเพิ่มความกังวลว่าอาจเกิดการต่อรองผลประโยชน์กันโดยที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงไม่มีสิทธิ์มีเสียง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่าวิตกสำหรับกรุงเคียฟและพันธมิตร

กลุ่มผู้ประท้วงการเจรจาครั้งนี้ Credit ภาพ REUTERS

 

ผลลัพธ์: ความคืบหน้าในศิลปะการพูด แต่ไม่ใช่บนสมรภูมิ 

แม้บรรยากาศการต้อนรับจะดูยิ่งใหญ่ ด้วยการแสดงการบินผ่านของเครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 และ F-22 แต่เนื้อหาของการประชุมกลับไม่สามารถทะลุทะลวงทางตันได้ รูปแบบการประชุมถูกปรับจาก "ตัวต่อตัว" เป็น "สามต่อสาม" ซึ่งสะท้อนถึงความระมัดระวังที่มากกว่าการพบกันที่เฮลซิงกิในปี 2018

หลังการเปิดโต๊ะเจรจา ทั้งสองฝ่ายต่างใช้คำพูดที่ฟังดูดี ทรัมป์กล่าวว่าการพูดคุย "มีประสิทธิผลอย่างยิ่ง" และ "มีความคืบหน้าที่ยอดเยี่ยม" ขณะที่ปูตินระบุว่าเป็นการหารือที่ "มีประโยชน์" และเกิดขึ้นใน "บรรยากาศที่สร้างสรรค์" แต่คำสำคัญที่ขาดหายไปคือ "ข้อตกลง"

ทรัมป์ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า "เรายังไปไม่ถึงจุดนั้น" ซึ่งเป็นการยอมรับโดยนัยว่าเขาเดินทางมาไกลถึงอลัสกาและกลับไปมือเปล่า ส่วนปูตินได้ฉายภาพให้เห็นถึงความร่วมมือในด้านอื่น ๆ ทั้งการค้า อาร์กติก และอวกาศ พร้อมทั้งเชื้อเชิญทรัมป์ไปยังกรุงมอสโก ซึ่งเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจจากประเด็นยูเครนได้อย่างชาญฉลาด

ด้านประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ได้ออกมาตอกย้ำความจริงอันโหดร้ายว่า "ในวันที่พวกเขากำลังเจรจาสันติภาพ รัสเซียก็กำลังสังหารคนของเรา" ซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจว่าการทูตในห้องแอร์นั้นห่างไกลจากความเป็นจริงในสนามรบ

เดิมพันของทรัมป์ที่ไม่เป็นผล

สำหรับโดนัลด์ ทรัมป์ การประชุมครั้งนี้บั่นทอนชื่อเสียง "นักเจรจา" ของเขาอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ การไม่สามารถนำผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมกลับมาได้ ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูอ่อนแอลงทั้งในประเทศและในสายตาพันธมิตร คำถามสำคัญที่ตามมาคือ เขาจะทำตามคำขู่ก่อนหน้านี้ที่จะใช้มาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรงขึ้นกับรัสเซียหรือไม่ หรือจะหาเหตุผลเพื่อผัดผ่อนออกไปอีกครั้ง

ชัยชนะทางยุทธศาสตร์ของปูติน
ในทางกลับกัน วลาดิเมียร์ ปูติน คือผู้ที่ได้ประโยชน์จากเกมนี้อย่างชัดเจน การได้ยืนเคียงข้างประธานาธิบดีสหรัฐฯ บนเวทีโลก ถือเป็นการตอกย้ำสถานะของรัสเซียและตัวเขาเองในฐานะผู้เล่นคนสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม เขาไม่ได้เสียอะไรเลยจากการประชุมครั้งนี้ ไม่ได้ให้คำมั่นสัญญาใดๆ และยังสามารถผลักดันวาทกรรมเรื่อง "ต้นตอของความขสำหรับปูตินแล้ว การประชุมครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะทางการทูตโดยสมบูรณ์

ยูเครนและยุโรป: โล่งอกปนกังวล

สำหรับยูเครนและพันธมิตรยุโรป ผลลัพธ์ที่ไม่มีข้อตกลงถือเป็นเรื่องที่น่าโล่งใจในระยะสั้น เพราะนั่นหมายความว่าจะไม่มีการบีบบังคับให้ยูเครนต้องยอมรับเงื่อนไขที่เสียเปรียบ อย่างไรก็ตาม ความกังวลในระยะยาวยังคงอยู่ การที่ปูตินยังคงยืนกรานในเป้าหมายเดิมของ "ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร" โดยไม่มีแรงกดดันที่หนักแน่นจากสหรัฐฯ อาจถูกตีความว่าเป็น "ไฟเขียว" ให้รัสเซียเดินหน้าโจมตีต่อไปโดยไม่ต้องเกรงกลัวผลกระทบที่รุนแรง

สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 

การประชุมสุดยอดที่อลัสกาสิ้นสุดลงแล้ว แต่สงครามในยูเครนยังคงดำเนินต่อไป โดนัลด์ ทรัมป์โยนความรับผิดชอบในการบรรลุข้อตกลงไปที่ประธานาธิบดีเซเลนสกี แต่ตราบใดที่รัสเซียยังไม่เปลี่ยนท่าที ข้อตกลงใดๆ ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้

โลกยังคงต้องจับตาดูว่าทรัมป์จะเลือกเส้นทางใดระหว่างการเพิ่มแรงกดดันต่อรัสเซีย หรือจะปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปเช่นเดิม การประชุมครั้งนี้อาจถูกจารึกไว้ ไม่ใช่ในฐานะจุดเริ่มต้นของสันติภาพ แต่เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของความแตกแยกที่ยังคงฝังรากลึก และอนาคตของยูเครนก็ยังคงแขวนอยู่บนเส้นด้ายแห่งความไม่แน่นอนต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง


 

related