SHORT CUT
งานวิจัยเผย “ทำงานต่อหลังวัยเกษียณ” ช่วยยกระดับความพึงพอใจในชีวิต พบผู้ชายได้ประโยชน์รอบด้าน ส่วนผู้หญิงขึ้นอยู่กับสายงาน
มื่อถึงวัยเกษียณ หลายคนคงจินตนาการถึงวันที่ได้พักผ่อน ใช้เวลาเดินทาง ท่องเที่ยว หรืออยู่กับครอบครัวโดยไม่ต้องทำงานอีกต่อไป แต่ผลการวิจัยใหม่กลับตั้งคำถามสำคัญว่า การหยุดทำงานจริง ๆ แล้วทำให้เรามีความสุขกว่าเดิมหรือไม่?
ข้อมูลจาก OECD ระบุว่า ปี 2023 มีผู้ที่อายุ 65-69 ปีใน 38 ประเทศสมาชิก ยังคงทำงานอยู่ถึง 28.9% เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากปี 2000 ที่มีเพียง 15.9% สะท้อนว่าการเกษียณช้าลงกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยไฮฟาและมหาวิทยาลัยเทลอาวีฟ ศึกษาข้อมูลจากการสำรวจสังคมในอิสราเอล โดยเปรียบเทียบประสบการณ์ของผู้ชายกว่า 2,000 คน และผู้หญิงกว่า 3,300 คนที่ถึงวัยเกษียณ (ผู้หญิง 62 ปี ผู้ชาย 67 ปี)
ผลปรากฏว่า ผู้ที่ยังทำงานเต็มเวลา มักเป็นคนที่มีรายได้ครัวเรือนน้อยกว่า แต่ในกลุ่มผู้ชายกลับพบว่า คนที่ยังทำงาน รายงานว่ามีความพึงพอใจในชีวิต ทั้งด้านเศรษฐกิจ ครอบครัว อารมณ์ และความสุขโดยรวม สูงกว่าหรือเท่ากับ คนที่หยุดทำงานแล้ว และไม่ว่าพวกเขาจะทำงานประเภทใดก็ตาม ผลลัพธ์ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ขณะที่ผู้หญิงที่ยังทำงานเต็มเวลา พบความพึงพอใจที่ดีขึ้นเฉพาะด้านเศรษฐกิจและครอบครัว และยังเกิดขึ้นเฉพาะเมื่อพวกเธอทำงานสายวิชาชีพ เทคนิค หรือผู้บริหารเท่านั้น
นักวิจัยอธิบายว่า ผู้หญิงอาจได้รับความหมายและการเติมเต็มจากบทบาทอื่น ๆ ในชีวิต เช่น ครอบครัวหรือกิจกรรมทางสังคม จึงไม่ได้พึ่งพางานเพียงอย่างเดียวเพื่อความสุข ขณะที่ผู้ชายยังคงมองว่าหน้าที่หลักคือการดูแลครอบครัวและประสบความสำเร็จในงาน แม้จะเลยวัยเกษียณแล้วก็ตาม
ศาสตราจารย์แครี คูเปอร์ จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ในสหราชอาณาจักร ชี้ว่า สำหรับผู้ชาย ความรู้สึกว่าตนเองยังมีคุณค่าในฐานะ “ผู้ทำงาน” ไม่ได้หายไปแม้จะอายุเกิน 65 ปี
อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยนี้ยังมีข้อจำกัด เช่น คนที่สุขภาพและความเป็นอยู่ดีอยู่แล้ว อาจมีแนวโน้มเลือกทำงานต่อ ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์เอนเอียง อีกทั้งความจริงในอิสราเอลอาจไม่สามารถสะท้อนได้ทุกสังคมหรือทุกวัฒนธรรม
แม้หลายคนจะฝันถึงชีวิตหลังเกษียณที่ไม่ต้องทำงาน แต่การศึกษานี้บอกเราว่า “การทำงานต่อ” อาจเป็นกุญแจสู่ความสุขในวัยหลัง 60 โดยเฉพาะผู้ชายที่ยังยึดโยงความหมายของชีวิตไว้กับการทำงาน ขณะที่ผู้หญิงอาจพบความสุขจากแหล่งอื่นมากกว่า
ที่มา : newscientist
ข่าวที่เกี่ยวข้อง