SHORT CUT
สิ่งที่ห้ามพูดในวันสัมภาษณ์งาน อย่าหลุดปากว่า “อยากทำธุรกิจส่วนตัว” เพราะอาจทำให้คุณหมดสิทธิ์ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มงาน
การเตรียมตัวและหาข้อมูลก่อนเข้าสัมภาษณ์เป็นสิ่งสำคัญ แต่บางครั้งสิ่งที่ “พูดออกมา” กลับอาจกลายเป็นเหตุผลให้คุณหลุดจากการพิจารณาทันที
ซูซี่ เวลช์ นักเขียนหนังสือขายดีของ New York Times และ CEO แนะนำว่า มี 3 คำตอบที่เปรียบเสมือน “คำตอบมรณะ” หากเผลอพูดในห้องสัมภาษณ์ โอกาสได้งานอาจแทบจะหายไปเลย
การมีไฟและความเป็นผู้ประกอบการเป็นสิ่งที่ดี แต่สำหรับผู้ว่าจ้าง มันเหมือนคุณกำลังบอกว่า “ฉันจะลาออกก่อนเริ่มงานเสียอีก” เวลช์ อธิบายว่า บริษัทส่วนใหญ่กว่าจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนในพนักงานใหม่ ต้องใช้เวลาราว 3 ปี ดังนั้นถ้าคุณแสดงท่าทีว่าจะไปเปิดธุรกิจในอนาคต นายจ้างอาจมองว่าไม่คุ้มที่จะเสี่ยงลงทุนกับคุณ
พนักงานเกือบทุกคนอยากมีสมดุลชีวิตการทำงาน แต่ถ้าคุณพูดว่านี่คือ “สิ่งสำคัญที่สุด” ผู้สัมภาษณ์อาจมองว่าคุณไม่ทุ่มเทหรือไม่พร้อมขับเคลื่อนเป้าหมายของบริษัท องค์กรส่วนใหญ่ต้องการคนที่มีแรงขับ มีแพสชัน และพร้อมสร้างผลงานมากกว่าคนที่กังวลเรื่องเวลาพัก
แม้จะเป็นความจริงที่หลายคนเผชิญ แต่เตือนว่าการพูดแบบตรง ๆ อาจทำให้ถูกตั้งคำถามว่าทำไมบริษัทถึงไม่เก็บคุณไว้เหมือนที่ทำกับพนักงานเก่ง ๆ คนอื่น ๆ ทางที่ดีควรเล่าให้ละเอียดและมีเหตุผล เช่น บริษัทเลิกทำธุรกิจบางสาย ทำให้ทักษะของคุณไม่ตรงกับทิศทางใหม่ แบบนี้จะฟังดูสมเหตุสมผลมากกว่า
นอกจากคำตอบแล้ว ผู้จัดการหลายคนยังมี “การทดสอบเล็ก ๆ” เพื่อดูนิสัยของผู้สมัคร เช่น มีคนเล่าว่าในห้องสัมภาษณ์จะมีเหยือกน้ำกับแก้ววางไว้ หากผู้สมัครกล้ารินน้ำและดื่มในจังหวะที่เหมาะสม จะถูกมองว่า “มั่นใจและปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี”
อีกวิธีหนึ่งคือถามเรื่องงานอดิเรก แล้วแกล้งถามคำถามที่ไม่รู้จริง เพื่อดูว่าผู้สมัครตอบอย่างไร บางคนทำให้ผู้สัมภาษณ์รู้สึกโง่ บางคนอธิบายอย่างสุภาพ และบางคนถึงขั้นเล่าได้สนุกจนทำให้ผู้สัมภาษณ์รู้สึกตื่นเต้นไปด้วย ซึ่งนี่คือสิ่งที่บ่งบอกถึงทัศนคติและทักษะการสื่อสารได้ดีกว่าประวัติการทำงานเสียอีก