เปิดเส้นทางพรรคภูมิใจไทย เดินหมากการเมืองมาอย่างไรจนกระทั่งมาถึงทุกวันนี้ วันที่ พรรคนี้กำลังจะมีโอกาสดีที่สุดในการเป็นผู้นำประเทศ
บนเส้นทางกว่า 17 ปีของพรรคภูมิใจไทย พรรคการเมืองที่ถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางความผันผวนทางการเมืองไทย ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและสั่งสมอำนาจต่อรอง จนก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นหลักที่ทุกขั้วการเมืองต้องจับตา จากสถานะ "พรรคตัวแปร" ที่คอยชี้ขาดว่าใครจะได้เป็นรัฐบาล สู่การเป็นพรรคแกนนำที่มีศักยภาพในการผลักดันหัวหน้าพรรคตนเองขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
นี่คือเรื่องราวการเดินทางของพรรคสีน้ำเงิน ที่เต็มไปด้วยกลยุทธ์ การตัดสินใจอันเด็ดขาด และการสร้างเครือข่ายอิทธิพลที่หยั่งรากลึก และมีโอกาสที่จะ ส่งหัวหน้าพรรค คนปัจจุบัน อย่าง อนุทิน ชาญวีระกูล
พรรคภูมิใจไทยถือกำเนิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2551 ในช่วงเวลาที่การเมืองไทยกำลังร้อนระอุ พรรคถูกก่อตั้งขึ้นในฐานะ "พรรคสำรอง" ของกลุ่มการเมืองมัชฌิมาธิปไตย เพื่อรองรับ ส.ส. ที่อาจได้รับผลกระทบจากคดียุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตยเอง
จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงเมื่อ เนวิน ชิดชอบ แกนนำกลุ่ม "เพื่อนเนวิน" ได้ประกาศแยกทางกับพรรคพลังประชาชน ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบ 3 พรรคดังกล่าว ส่งผลให้รัฐบาลของ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ สิ้นสุดลง ท่ามกลางสุญญากาศทางการเมือง กลุ่มของเนวินได้ตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ ด้วยการหันไปจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อสนับสนุน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
การตัดสินใจครั้งนี้ นำมาซึ่งวาทะอันเป็นตำนาน เมื่อ ทักษิณ ชินวัตร โทรศัพท์มาต่อว่าเนวิน แต่กลับได้รับคำตอบว่า “มันจบแล้วครับนาย” วลีนี้ไม่เพียงแต่ปิดฉากความสัมพันธ์ทางการเมืองกับขั้วอำนาจเก่า แต่ยังเป็นการประกาศจุดยืนใหม่ของกลุ่มการเมืองที่ทรงอิทธิพลกลุ่มนี้ เหตุการณ์นี้ทำให้ "กลุ่มเพื่อนเนวิน" ถูกจารึกว่าเป็น "งูเห่า" รุ่นที่สองของการเมืองไทย และเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นขั้วตรงข้ามกับพรรคเพื่อไทยมาอย่างยาวนาน
ในช่วงทศวรรษแห่งความขัดแย้งสีเสื้อ พรรคภูมิใจไทยได้วางตำแหน่งตนเองในฐานะพรรคสายกลางที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ "ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์" พร้อมกับการปรากฏตัวของ "กลุ่มคนเสื้อสีน้ำเงิน" ที่แสดงบทบาทอย่างแข็งขันในการต่อต้านกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเฉพาะเหตุการณ์ปะทะที่การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ณ เมืองพัทยา ในปี 2552 ซึ่งภาพลักษณ์ของเนวินถูกเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวของมวลชนกลุ่มนี้อย่างแยกไม่ออก
หลังการรัฐประหารปี 2557 และการเลือกตั้งปี 2562 ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พรรคภูมิใจไทยภายใต้การนำของ อนุทิน ชาญวีรกูล ได้กลายเป็นพรรคขนาดกลางที่มี ส.ส. ในมือถึง 51 คน และได้เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐที่สนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ในช่วงเวลานี้เองที่ "พลังแห่งการดึงตัว" ของพรรคภูมิใจไทยได้แสดงอานุภาพอย่างเด่นชัด พรรคประสบความสำเร็จในการดึงตัว ส.ส. จากพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะจากพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบในเวลาต่อมา เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับฝ่ายรัฐบาล ทำให้พรรคภูมิใจไทยกลายเป็น "ฟาร์มงูเห่า" ที่ทรงพลัง และเพิ่มอำนาจต่อรองทางการเมืองได้อย่างมหาศาล
การเลือกตั้งปี 2566 พรรคภูมิใจไทยได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นอันดับสามด้วยจำนวน ส.ส. 71 ที่นั่ง และได้สร้างปรากฏการณ์อีกครั้งด้วยการประกาศไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกลที่มีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ก่อนจะหวนกลับมาจับมือกับ "ศัตรูเก่า" อย่างพรรคเพื่อไทย เพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสม ภาพการชนแก้ว "มินต์ช็อก" ระหว่างแกนนำทั้งสองพรรค กลายเป็นสัญลักษณ์ของการสลายขั้วเพื่อจัดตั้งรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลกลับเต็มไปด้วยรอยร้าว พรรคภูมิใจไทยมักแสดงจุดยืนที่ขัดแย้งกับพรรคเพื่อไทยในประเด็นสำคัญหลายครั้ง เช่น การคัดค้านร่างแก้ไข พ.ร.บ. กลาโหมฯ, การวอล์กเอาต์ไม่ร่วมพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการไม่เห็นด้วยกับนโยบาย Entertainment Complex
จุดแตกหักมาถึงเมื่อ ทักษิณ ชินวัตร แสดงความต้องการที่จะให้กระทรวงมหาดไทยกลับมาอยู่ในความดูแลของพรรคเพื่อไทย ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองที่รัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร กำลังเผชิญวิกฤต พรรคภูมิใจไทยจึงอาศัยจังหวะประกาศถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ปิดฉากพันธมิตรที่เกิดขึ้นจากความจำเป็นทางการเมือง
สำหรับ พรรคภูมิใจไทย นั้น มี สส. และ มี "บ้านใหญ่" เช่นเดียวกับหลายๆพรรคการเมืองในไทย โดยฐานใหญ่ของพรรคอยู่ที่ จังหวัดบุรีรัมย์ กับ ตระกูลการเมืองอย่าง ซารัมย์ , ชิดชอบ , ทองศรี , ขณะที่ จังหวัด อ่างทอง มีตระกูลการเมือง ปริศนานันทกุล , จังหวัด อุทัยธานี มี ตระกูล ไทยเศรษฐ์ , ขณะที่ รัชกิจประการ ในจังหวัด สตูล
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้พรรคภูมิใจไทยมีอำนาจต่อรองสูง ไม่ได้มีเพียงจำนวน สส. ในสภาผู้แทนราษฎร แต่ยังรวมถึงเครือข่ายอิทธิพลในวุฒิสภา หรือที่เรียกกันว่า "สว. สีน้ำเงิน" ซึ่งบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับพรรคได้รับการเลือกตั้งเป็น สว. ชุดปี 2567 เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะจากจังหวัดที่เป็นฐานเสียงหลักของพรรค
เครือข่ายนี้ได้แสดงพลังให้เห็นผ่านการ "ขวาง" หรือ "ยับยั้ง" กฎหมายสำคัญหลายฉบับที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว เช่น ร่าง พ.ร.บ. ประชามติฯ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเอกภาพในการลงมติที่สอดคล้องกับแนวทางของพรรคภูมิใจไทย
ในภาวะที่รัฐบาลของพรรคเพื่อไทยสิ้นสุดลง พรรคภูมิใจไทยในฐานะพรรคอันดับสามที่มีเครือข่ายทางการเมืองที่แข็งแกร่ง ทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น (จากการกวาดที่นั่งนายก อบจ. ได้ถึง 20 จังหวัด) จึงก้าวขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่มีโอกาสเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
เส้นทางของพรรคภูมิใจไทยคือบทพิสูจน์ของความเขี้ยวลากดินทางการเมือง ที่ขับเคลื่อนโดย "ครูใหญ่" เนวิน ชิดชอบ และมี อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นผู้นำทัพ วันนี้ พรรคสีน้ำเงินไม่ได้เป็นเพียง "ตัวแปร" อีกต่อไป แต่กำลังจะกลายเป็น "ผู้กำหนดเกม" ที่จะชี้ชะตาอนาคตการเมืองของประเทศไทย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง