SHORT CUT
เปิดวิบากกกรรม ‘เศรษฐกิจไทย’ โจทย์หิน โจทย์ใหญ่ รอวัดฝีมือ ‘รัฐบาลใหม่’ อยู่ บอกเลยไม่ง่ายปากท้องคนฐานราก ต้องรอด
วินาทีนี้ต้องจับตาดูการเมืองไทยว่าจะจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ด้วยวิธีใด และใครจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล หรือจะมีการเลือกตั้งใหม่หรือไม่ ใครจะได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่32 ไม่ว่าใครจะได้นั่งเก้าอี้หรือใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ ในแง่ของเศรษฐกิจ ปากท้องคนฐานรากตอนนี้ต้องบอกได้เลยว่า ต้องเร่งในการเข็นเศรษฐกิจไทยขึ้นมาให้ได้ เพราะสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจภาพใหญ่ และเศรษฐกิจฐานราก ในตอนนี้ชะลอตัวอย่างมาก
เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องแรก และเรื่องใหญ่ ที่รัฐบาลใหม่ต้องรีบเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ตาม นับได้ว่าเป็นโจทย์หิน โจทย์ใหญ่ รอวัดฝีมือ ‘รัฐบาลใหม่’ อยู่ และบอกเลยไม่ง่าย เพราะปากท้องคนฐานราก ต้องรอด ค้าขายต้องดีขึ้น มาหากินต้องง่าย และมีเงินสะพัดมากกว่านี้ การจ้าง ค่าแรงต้องปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน การท่องเที่ยว ส่งออก การลงทุนภาครัฐ และเอกชน ต้องดีขึ้นกว่านี้ ตลาดเงิน ตลาดทุน ต้องคึกคักกว่านี้ เช่นกัน
ทั้งหมดที่กล่าวมา คือ วิบากกกรรม ‘เศรษฐกิจไทย’ ที่อาการน่าเป็นห่วงมาหลายปีดีดัก แม้ว่ารัฐบาลช่วงก่อนหน้านี้จะมีความพยายามในหลากหลายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็ยังไม่ถือได้ว่าเป็นยาแรงที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทย ให้ฟื้นคืนชีพมาได้ในเร็ววัน วันนี้ #SPRiNG จะพามาไล่เรียงดูว่าที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง มาเริ่มที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ที่ 1.5% ซึ่งหากเทียบกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน ถือว่าน้อยมาก โดยเฉพาะเวียดนามที่มีอัตราการเติบโตอย่างมาก ซึ่งเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/2568 ภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนชะลอลง
ในขณะที่ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้มีการประกาศเป้าหมาย รายได้ประชาชาติต่อหัว โดยตัวชี้วัดจะบรรลุค่าเป้าหมาย ก็ต่อเมื่อรายได้ประชาชาติต่อหัวในปี 2570 จะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 9,300 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 300,000 บาทต่อปี สำหรับรายได้ประชาชาติต่อหัว หรือ 'รายได้ต่อหัวคนไทย' ล่าสุด สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ประกาศตัวเลขออกมาเป็นทางการแล้ว โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา คนไทยมีรายได้ต่อหัวอยู่ที่ 7,497 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 264,661 บาทต่อคนต่อปี เท่านั้น ยังห่างไกลกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มาก และมีแนวโน้มว่าอาจจะไม่บรรลุเป้าหมาย
ล่าสุดในการแถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2568 สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ประเมินแนวโน้ม รายได้ต่อหัวคนไทย ทั้งปี 2568 จะอยู่ที่ 8,146 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 268,839 บาทต่อคนต่อปี เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ซึ่งเป็นตัวเลขจริงเพียงเล็กน้อย ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2568 สศช. ประเมินว่า มีแนวโน้มขยายตัวในช่วง 1.8 - 2.3% (ค่ากลางการประมาณการ 2%) เทียบกับ 2.5% ในปี 2567 อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ในช่วง 0.0 - 0.5% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.1% ของ GDP พร้อมทั้งมีข้อเสนอการบริการเศรษฐกิจมหาภาคให้เป็นไปตามเป้าหมาย
ด้านสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า คณะผู้แทนจาก ASEAN+3 Macroeconomic Research Office (AMRO) โดยมี Mr. Yasuto Watanabe ผู้อำนวยการ AMRO และ Mr. Dong He หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ได้เข้าพบผู้บริหาร สศค. เพื่อสรุปผลการประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยประจำปี 2568 โดยรายงานผลการประเมิน AMRO ระบุว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัว 2.2% และชะลอตัวเหลือ 1.9% ในปี 2569
ส่วนเรื่องหนี้เสียคนไทยยังน่าเป็นห่วง ข้อมูลจากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือ เครดิตบูโร เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับหนี้ของคนไทย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 โดยพบว่า คนไทยเป็นหนี้สูงถึง 16.2 ล้านล้านบาท ใหญ่เกือบเท่าจีดีพีของประเทศในปีที่ผ่านมา (2567) โดยหนี้ที่อยู่ในระบบของเครดิตบูโร มีจำนวนทั้งสิ้น 13.54 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นหนี้บ้าน 37.9% รองลงมา คือ หนี้ส่วนบุคคล 19.4% และหนี้รถ 17.4% โดยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ หนี้เสีย (NPL) มีอยู่ 1.19 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นหนี้ส่วนบุคคล 22.7% รองลงมา คือ หนี้รถ 22.4% และหนี้บ้าน 19.5%
จนทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับประมาณการ “สินเชื่อ” ทั้งระบบลง โดยจากคาดการณ์เดิมที่คาดสินเชื่อทั้งระบบขยายตัว 0.6% ในปี 2568 กลับมาพลิกเป็น “ติดลบ” ที่ 0.6% สะท้อนเศรษฐกิจซบเซามากกว่าคาดมาก โดยเฉพาะไตรมาส 1 ยอดสินเชื่อใหม่ต่ำกว่าประเมินเกือบทุกหมวด ทุกเซกเตอร์ธุรกิจ ทั้งนี้หากดูคาดการณ์สินเชื่อติดลบปีนี้ ที่ 0.6% คาดว่าเป็นการติดลบในรอบ 16 ปีนับตั้งแต่ปี 2553 ในช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์
ส่วนสถานการณ์ ‘ตลาดแรงงานไทย’ ในไตรมาสที่2 ปี2568 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ เผย อัตราการว่างงานรวม ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 0.91% จากไตรมาสก่อนหน้าที่ 0.88% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่า อัตราว่างงานปรับตัวลดลง (จาก 1.07% ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567) เนื่องมาจากจำนวนผู้ว่างงานลดลงในกลุ่มผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน ที่ลดลง 25.6%YoY ขณะที่ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน ลดลงเพียง 6.6%YoY
ทั้งในส่วนของอัตราการว่างงานในระบบสำนักงานประกันสังคม อยู่ที่ 2.07% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 1.92% โดยมีผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานทั้งสิ้น 2.5 แสนคน ในไตรมาสที่ผ่านมา และพบอีกว่า จำนวนผู้ว่างงานลดลงมาก ในกลุ่มอาชีวศึกษาและกลุ่มวิชาชีพขั้นสูง ขณะที่ผู้ว่างงานในระดับอุดมศึกษาลดลงเล็กน้อย และยังเป็นกลุ่มที่มีอัตราการว่างงานสูงที่สุดอย่างต่อเนื่อง ค่าจ้างเฉลี่ยในภาพรวมของแรงงานทุกสถานภาพ’ ปรับตัวลง 2 ไตรมาสติดต่อกัน อยู่ที่ 15,977 บาทต่อคนต่อเดือน ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 โดยลดลง 1.9% YoY
สะท้อนว่ากลุ่มแรงงานอาชีพอิสระมีรายได้ลดลง ขณะที่ ค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น โดยอยู่ที่ 14,370 บาทต่อคนต่อเดือน เพิ่มขึ้นจาก 2.4%YoY เช่นเดียวกับค่าจ้างเฉลี่ยของแรงงานในระบบอยู่ที่ 15,712 บาทต่อคนต่อเดือน เพิ่มขึ้น 2.5%YoY ขณะที่ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยในภาพรวมลดลง 0.4% หรืออยู่ที่ 42.7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ส่วนผู้ทำงานล่วงเวลา ที่มีชั่วโมงการทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ขึ้นไป มีจำนวน 6.3 ล้านคน ลดลง 8.0%
มาดูภาคการท่องเที่ยว กรระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า สถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยในช่วง 7 เดือนแรก ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 ก.ค. 2568 มีจำนวนสะสม 19,295,835 คน ลดลง 6.35% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สร้างรายได้ตลาดประเทศ 895,157 ล้านบาท ลดลง 4.22%
ส่วนการส่งออก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ครึ่งแรกปี 2568 สูงกว่าคาดที่ 15% YoY คาดครึ่งหลังหดตัว -10% YoY และ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการส่งออกไทยในปี 2568 อยู่ที่ 1.5% แต่ยังต้องติดตามผลการเจรจาอัตราภาษีที่ไทยจะได้รับในวันที่ 1 ส.ค. 2568 อย่างไรก็ดี แม้ว่าไทยจะถูกเก็บภาษี Reciprocal tariff สูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค
แต่ผลกระทบต่อการส่งออกคงเพิ่มขึ้นจากที่ประเมินไว้เดิมไม่มากนัก เนื่องจากสินค้าหลายรายการที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ไม่เข้าข่ายถูกเก็บภาษีภายใต้ Reciprocal tariff แต่ถูกจัดเก็บภาษีเฉพาะรายอุตสาหกรรมตาม มาตรา 232 ซึ่งกำหนดอัตราเท่ากันทุกประเทศ และยังต้องจับตาการประกาศขยายรายการสินค้าภายใต้ section 232 ในช่วงครึ่งหลังของปี เช่น เซมิคอนดักเตอร์ และไม้แปรรูป เป็นต้น ซึ่งอาจกระทบการส่งออกไทยไปถึงปี 2569
ส่วนธุรกิจร้านอาหารและร้านเครื่องดื่มในปี 2568 โตชะลอลง จากเศรษฐกิจไทยชะลอตัวกระทบการใช้จ่ายของผู้บริโภค และภาคการท่องเที่ยวที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเสี่ยงไม่โต คาดว่ามูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 646,000 ล้านบาท เติบโต 2.8% จากปี 2567 (ปรับลดจากคาดการณ์เดิมที่เติบโต 4.6% หรือมีมูลค่า 657,000 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2567)
ธุรกิจร้านอาหารในปี 2568 คาดมูลค่าตลาดอยู่ที่ 562,000 ล้านบาท เติบโต 3.0% จากปี 2567.กลุ่มร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ (Full service restaurant) เติบโตต่ำกว่ากลุ่มอื่น สำหรับธุรกิจร้านเครื่องดื่ม (รวมร้านเบเกอรี่และไอศกรีม) ในปี 2568 คาดมูลค่าตลาดอยู่ที่ 84,200 ล้านบาท เติบโต 1.9% จากปี 2567 กลุ่มเบเกอรี่ยังเติบโตดีจากความหลากหลายประเภทของเบเกอรี่และร้านค้าที่มากขึ้น
แต่การแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารเครื่องดื่มที่สูง เทรนด์ของร้านอาหารและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน ขณะที่ต้นทุนราคาวัตถุดิบอาหารผันผวนในระดับสูง แต่การปรับราคาทำได้จำกัด ส่งผลกระทบต่อรายได้และผลกำไรของผู้ประกอบการ
ด้าน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ มีการเผย บริษัทตั้งใหม่ เม.ย.68 ที่ผ่านมาลดลง 3.14% เลิกกิจการ เพิ่มขึ้น 0.49% ฉุด 4 เดือน และกิจการตั้งใหม่ลดลง 4.39% สาเหตุคนรอดูสถานการณ์ รวมผลกระทบเศรษฐกิจโลก ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ภาษีสหรัฐฯ และค่าครองชีพที่สูงขึ้น แต่มองว่าแนวโน้มไตรมาส 3-4 มีลุ้นให้กิจการตั้งใหม่เพิ่มขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ทั้งหมดที่กล่าวมา คือ วิบากกกรรม ‘เศรษฐกิจไทย’ โจทย์หิน รอวัดฝีมือ ‘รัฐบาลใหม่’ อยู่ บอกได้คำเดียวว่าไม่ได้ง่าย แต่…ก็ขอให้สู้ๆ เพื่อประชาชนคนไทยจะได้มีคุณภาพชีวิต รายได้ ที่ดีขึ้น !
ข่าวที่เกี่ยวข้อง