ในห้วงเวลาที่ศาลกำลังจะชี้ชะตานายกฯ ว่าขาดคุณสมบัติหรือไม่? อาจจะกระทบต่อคณะรัฐมนตรี และที่สำคัญคือกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในภาวะถดถอย
SPRiNG สัมภาษณ์พิเศษ เกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย และอดีต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสุพันธุ์ มงคลสุธี อดีตประธานกิตติมศักดิ์สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ถึงฉากทัศน์ทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นหลังศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัย ชี้ชะตา แพทองธาร ชินวัตร ว่าขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ หลังเกิดกรณีคลิปเสียงกับสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภา กัมพูชา
กรณีแรก หากนายกรัฐมนตรี ขาดคุณสมบัติ พ้นจากตำแหน่ง คณะรัฐมนตรีทั้งชุดก็ต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วย และจะนำมาสู่การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ พร้อมกับเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่อาจจะเป็น ชัยเกษม นิติสิริ จากพรรคเพื่อไทย หรืออนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย หรืออาจจะเป็นนายกฯ คนนอก
กรณีที่สอง หากนายกรัฐมนตรี ไม่ขาดคุณสมบัติ คณะรัฐมนตรีก็ยังทำงานต่อไปได้ แต่ก็มีกระแสข่าวว่าอาาจะมีการยุบสภาในช่วงปลายปีและเลือกตั้งใหม่ในต้นปี 2569 ก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองทางนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างไร? และประชาชนควรรับมืออย่างไร?
เกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย อธิบายภาพใหญ่ว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกถดถอย รวมทั้งสหรัฐอเมริกาที่ต้องเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อสูง แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจติดลบ และเมื่อสหรัฐและยุโรปเป็นตลาดใหญ่ของไทยย่อมต้องกระทบกับเศรษฐกิจไทย
ประการต่อมาคือสงคราม ได้แก่ รัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-ตะวันออกกลาง ทำให้กระทบการค้าโลกที่เติบโตลดลงเหลือ 3%
ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศไทยโตน้อยมากอยู่แล้วไม่ถึง 2% เมื่อเทียบกัประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบกับนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ยิ่งจะทำให้นักลงทุนสนใจมาลงทุนในประเทศไทยน้อยลง อีกทั้งส่วนต่างดอกเบี้ยของไทยสูงที่สุดในเอเชียแปซิฟิก 7% ขณะที่ทั่วโลกอยู่ที่ 1.5%
แต่ที่ผ่านมารัฐบาล ใช้เงินไปเยอะกับนโยบายประชานิยมที่ได้ผลทางเศรษฐกิจน้อย เป็นอันตรายกับประเทศ ดังนั้นไม่ว่าผลการพิจารณาของศาลจะเป็นอย่างไร ถ้าการทำนโยบายแบบเดิมก็จะยังไม่ดึงดูดการลงทุนหรือสร้างความสามารถในการแข่งขัน รัฐบาลยังขาดความน่าเชื่อถือ อีกทั้งในสภาผู้แทนราษฎรยังเอาเรื่องที่ไม่เป็นสาระสำคัญทางเศรษฐกิจมาพิจารณา ถ้าหากอยู่ต่อแล้วไม่ปรับ ครม. ก็มีค่าเท่าเดิม ตรงกันข้ามกับตอนนี้ที่ประเทศไทยต้องการการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่
ส่วนเรื่องการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ก็เป็นแค่ความหวังของนักการเมือง ไม่ใช่ความหวังของประชาชน เพราะความหวังของประชาชนคือแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่เมื่อตอนนี้ที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจสูง ประชาชนก็ควรเก็บเงิน อย่าเพิ่งลงทุน หรือภาคประชาชน ภาคเอกชนเองก็ควรจะร่วมมือกันพัฒนาเศรษฐกิจด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอพึ่งรัฐบาลอย่างเดียว หรือสุดท้ายคือการเรียกร้องต่อรัฐบาลให้แก้ไขปัญหาให้ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแก้หนี้นอกระบบ จัดการธุรกิจสีเทา ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น น้ำมัน ไฟฟ้า เป็นต้น
สุพันธุ์ มงคลสุธี อดีตประธานกิตติมศักดิ์สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย วิเคราะห์ว่า ถ้าศาลตัดสินออกมาเป็นโทษกับนายกรัฐมนตรี ก็จะเกิดสุญญากาศช่วงสั้นๆ กับนักลงทุนที่ต้องรอดูความแน่นอนหรือดูการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทย ก่อนตัดสินใจลงทุนต่อไป
แต่หากมีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ข้อดีที่จะเกิดขึ้น คือ การใช้จ่ายเงินในการเลือกตั้งที่จะย้ายจากการเมืองเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในประเทศ และยิ่งความหวังในการเมืองต่ำลง การยุบสภาก็อาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ตัวได้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเสถียรภาพทางการเมือง เพราะหากไม่มีเสถียรภาพทำให้นโยบายต่างๆ ที่จะขับเคลื่อนทำได้ยาก ไม่ว่าจะทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ที่ผ่านมาโครงการที่พรรคเพื่อไทยจะขับเคลื่อนหลายโครงการก็ไปไม่ได้ และเมื่อการเมืองยังไม่นิ่ง การลงทุนจากต่างชาติก็จะชะลอตัว
ในทางตรงกันข้าม หากศาลวินิจฉัยว่านายกรัฐมนตรีไม่ขาดคุณสมบัติ ก็ต้องมาดูแล้วนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีจะมีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างไร หรือถ้าจะมีการดึงพรรคภูมิใจไทยกลับเข้ามาร่วมรัฐบาลเพื่อให้เกิดเสถียรภาพทางการเมือง แต่ก็ต้องเน้นการเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ใช่ดำเนินนโยบายสร้างความนิยมระยะสั้นเพื่อหวังผลทางการเมือง
เช่นเดียวกันกับกระแสนายกฯ คนนอก เพราะอาจจะทำให้เกิดภาพลบหรือต่างชาติก็อาจจะเกิดความไม่เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยของไทย และยิ่งส่งผลต่อการลงทุน แต่หากเข้ามาในระยะสั้น มีเป้าหมายชัดเจนในการแก้เศรษฐกิจก่อนก็อาจจะมีความเป็นไปได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหานี้ และการพัฒนาสินค้าของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร การท่องเที่ยว การเพิ่มศักยภาพของสินค้าไทยใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น แฟชั่น อัญมณี เกษตรแปรรูป เป็นต้น ลดค่าครองชีพให้ประชาชน โดยเฉพาะค่าสาธารณูปโภคต่างๆ
ทั้งนี้ในสภาวะที่มีความไม่แน่ไม่นอน ประชาชนควรเก็บเงิน ลดค่าใช้จ่าย ใช้โซเชียลมีเดียในการหาตลาดใหม่ และลดต้นทุน แต่ในเรื่องของการลงทุนเพิ่มเติมต้องแนะนำว่า Wait & See ควรหยุดดูสถานการณ์ก่อน เพราะนอกจากความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองแล้ว ยังมีเรื่องนโยบายภาษีทรัมป์ และการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ก็ทำให้ไทยเสียรายได้ไปพอสมควร