SHORT CUT
ภาพม็อบชนม็อบที่ชายแดนหนองจาน เป็นเพียงภาพลวงตา เบื้องหลังคือการเดินเกมการทูตและกฎหมายของภาครัฐ
ภาคธุรกิจชายแดนสระแก้วได้รับผลกระทบหนัก การค้าหยุดชะงัก นักลงทุนถอนตัว คนรุ่นใหม่ย้ายถิ่นฐาน
ความขัดแย้งระดับนโยบายทำให้ประชาชนชายแดนทั้งสองชาติสูญเสียวิถีชีวิตปกติ โดยที่ยังไม่เห็นทางออกที่ชัดเจน
มองปัญหาบ้านหนองจานให้ลึกกว่าภาพมวลชนเขย่ารั้ว เบื้องหลังคือเกมการทูตที่เยือกเย็น แต่ผลกระทบที่แท้จริงตกอยู่กับคนชายแดนที่กำลังจะตาย
ณ ปลายสุดของแผ่นดินสระแก้ว ภาพมวลชนชาวกัมพูชาเขย่ารั้วลวดหนามและตะโกนท้าทาย ถูกปั่นกระแสผ่านโซเชียลมีเดียจนกลายเป็นภาพจำของความขัดแย้งที่บ้านหนองจาน อ.โคกสูง หลายคนเดือดดาลและมองว่านี่คือการปะทะกันระหว่าง "ชาวบ้าน" ของสองประเทศ ปลุกความรักชาติในตัวให้เรารู้สึกยอมไม่ได้ แต่แท้จริงแล้วนั่นอาจเป็นเพียง "ภาพลวงตา" ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป้าประสงค์บางอย่าง เพราะเบื้องหลังฉากการยั่วยุนั้น คือ "ความจริง" ของการบังคับใช้กฎหมายไทยที่กำลังเดินหน้าอย่างเป็นขั้นตอนและชีวิตของคนธรรมดากำลังถูกนับถอยหลังอย่างช้าๆ เพื่อแลกกับคำว่า "อธิปไตย"
สิ่งที่คนนอกพื้นที่อาจไม่ทราบ คือทุกการกระทำของฝ่ายไทยถูกวางแผนมาอย่างรอบคอบ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วได้ดำเนินการส่งหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจยเพื่อขอความร่วมมือย้ายราษฎรที่รุกล้ำออกไป ซึ่งการประท้วงกลับจากฝั่งกัมพูชาเป็นสิ่งที่ทางการไทย "คาดการณ์และประสงค์ให้เกิดขึ้น"
"เราประสงค์ให้เขาตอบโต้" คือคำยืนยันจากนายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการขึ้นป้ายเตือน (Warning 1) และการลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ ที่นำไปสู่การเขย่ารั้วนั้น เป็นการดำเนินการเพื่อให้ปัญหาถูกยกระดับไปสู่โต๊ะเจรจาในเวทีทวิภาคี (GBC) อย่างเป็นทางการ ไม่ใช่การตอบโต้ด้วยอารมณ์ การกระทำทั้งหมดนี้เพื่อให้สามารถตอบคำถามต่อผู้สังเกตการณ์ในเวทีนานาชาติได้ว่า "ไทยดำเนินการภายใต้กฎหมายของประเทศ โดยไม่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ"
ยุทธศาสตร์ของไทยชัดเจนว่า "ถ้าเราเปิดก่อนเราเสียเปรียบ เราจะเสียหายมากกว่าที่เราจะได้" ดังนั้น การเดินตามกลไกกฎหมายจึงเป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุด แม้จะต้องใช้เวลาและทรัพยากร ขั้นตอนต่อไปคือการประกาศเตือนครั้งที่ 2 (Warning 2) ซึ่งจะมีการกำหนดเส้นตายให้ออกจากพื้นที่ หากยังฝ่าฝืน จะมีการบังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมืองเพื่อจับกุมความผิดซึ่งหน้า และตามด้วยกฎหมายป่าไม้ต่อไป นี่คือ "เกมกฎหมาย" ที่เยือกเย็น ซึ่งสวนทางกับ "เกมยั่วมวลชน" ที่ปรากฏเป็นข่าว
ท่ามกลางเกมยุทธศาสตร์ของสองรัฐ เสียงที่แผ่วเบาที่สุดคือเสียงของคนในพื้นที่ คุณจันทร์เพ็ญ มือสันเที๊ยะ ชาวบ้านอรัญประเทศ เล่าให้ SPRiNG ฟังว่าก่อนหน้านี้ชีวิตของคนสองฝั่งพรมแดนนั้นแยกกันไม่ออก "เราเป็นเพื่อนกัน เคยข้ามไปกินเหล้าฝั่งเขาเลย ไม่เคยมีปัญหาอะไรกัน" เธอกล่าวถึงมิตรภาพที่วันนี้ถูกความหวาดระแวงเข้ามาแทนที่ "พอสถานการณ์เป็นแบบนี้ก็ไม่กล้าไปแล้ว ขนาดว่ารู้จักกันก็ยังไม่กล้าไปคุย"
สำหรับคนชายแดน ผลกระทบที่รุนแรงที่สุดตกอยู่กับภาคธุรกิจและประชาชน นายอนุวัฒน์ หวังพนาวงศ์ ตัวแทนหอการค้าจังหวัดสระแก้ว เปรียบเทียบสถานการณ์ว่าเหมือน "การยอมให้เลือดไหลโดยไม่รู้เลยว่าเมื่อไรจะถูกห้ามเลือด" การค้าชายแดนที่เคยคึกคักถูกแช่แข็ง ธุรกิจต้องปิดตัว คนรุ่นใหม่เริ่มย้ายถิ่นฐาน ทิ้งไว้เพียงเมืองที่เศรษฐกิจกำลังจะตาย
"ความมั่นคงในมุมของผม คือความสบายใจ คือเราสามารถเดินไปไหนมาไหนแล้วไม่ต้อง ระแวงอันตรายว่าจะมีใครมาตีหัวเรา หากในอนาคต สมช.จะสร้างรั้วกั้นประเทศแล้วแน่ใจไหมว่าสร้างความมั่นคงได้จริง เราต้องการมากกว่ากำแพงคือประตูแห่งโอกาส มองมาที่ความเดือดร้อนของประชาชนทั้งสองประเทศด้วย"
ไทยค้าขายไม่ได้ ไม่มีแรงงาน หลายตำแหน่งงานคนไทยเองที่เลือกไม่ทำ คนหนุ่มสาวชายแดนย้ายออกจากถิ่นเพื่อไปหาโอกาสที่อื่น นักลงทุนสายป่านสั้นทยอยตายไปจากตลาดอย่างช้าๆ
นี่ใช่ไหม? สิ่งที่คนชายแดนต้องเสียสละเพื่อความมั่นคงของชาติ เขาทุกคนรักชาติ และพร้อมเสียสละ แต่ชาติพรากชีวิตปกติของเขามากเกินไปแล้วหรือเปล่า ตราบใดที่ผู้นำสองประเทศยังหาข้อสรุปไม่ได้ คนที่เลือดจะหมดตัวไปก่อน คือประชาชนคนธรรมดาทุกคน ไม่ว่าเขาคือคนชาติไหน คนไทยหรือคนกัมพูชา...