ธ.ก.ส. ชูเวที BAAC EXCLUSIVE DINNER TALK 2025 AGRI REFORM สร้างความเข้มแข็งเกษตรกร แลกเปลี่ยนมุมมอง จุดประกายแนวคิด
ต้องยอมรับว่าประเทศไทยส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก และสินค้าแปรรูปทางการเกษตรของไทยก็ส่งออกได้ปีหนึ่งจำนวนมหาศาล สร้างรายได้ขับเคลื่อนได้เป็นอย่างดี แต่..ก็ยังพบว่าเกษตรกรไทยยังขาดแคลนเรื่องเงินทุน และองค์ความรู้ นวัตกรรม ในการทำเกษตรกรรมสมัยใหม่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จึงเข้ามาเป็นฟันเฟืองที่สำคัญมากๆ ที่ช่วยเหลือเกษตรกรไทยมากกว่า 60 ปี เพื่อให้เกษตรกรไทยได้ลืมตาอ้าปากได้
อย่างล่าสุดได้มีการจัดงานสัมมนา “BAAC EXCLUSIVE DINNER TALK 2025 AGRI REFORM : ปรับวิธีคิด พลิก ECOSYSTEM ให้เติบโต” ซึ่งถือเป็นเวทีสำคัญในการเชื่อมโยงทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมอง จุดประกายแนวคิด และร่วมกันสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและชุมชนไทยในอนาคต ซึ่งงานนี้ได้ นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะรองประธานกรรมการ ธ.ก.ส. เป็นประธานกล่าวเปิดงาน
โดย ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กล่าวในงานว่า ต้องยอมรับว่าเกษตรกรไทยยังต้องการพึ่งพาความช่วยเหลือจากรัฐบาล และ ธ.ก.ส. อยู่ทั้งในเรื่องของเงินทุน และองค์ความรู้ใหม่ๆ จะเห็นได้ว่าปัจจุบันรัฐบาลได้ดำเนินโครงการต่างๆ ผ่าน ธ.ก.ส. เพื่อดูแลเกษตรกรหลายโครงการ ยกตัวอย่างเช่น โครงการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว โครงการไร่ละพัน การช่วยเหลือภาคประมง ส่งเสริมชาวไร่ตัดอ้อยสด นอกจากนี้ยังมีโครงการมาตรการชดเชยภัยพิบัติ
นอกจากนี้ยังเตือนเกษตรกรไทยว่ายังต้องเผชิญกับความท้าทายอีกหลายมิติ ทั้งปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอกที่รุนแรงซับซ้อน เช่น ปัญหาการประมงผิดกฎหมาย (IUU) การทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ลดภาษีสินค้านำเข้าเป็น 0% ทำให้สินค้าเกษตรบางรายการจากต่างประเทศที่ต้นทุนต่ำกว่าเข้ามาแย่งตลาดในไทย ที่สำคัญยังคงต้องจับตาเรื่องการเปลี่ยนแปลงกติกาการค้าโลกที่มีแนวโน้มจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรในประเทศ อย่างเช่น ภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดน (C-BAM) ภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐ และความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งการรับมือ และจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวจะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงต้องใช้แนวทางใหม่ๆ ดังนั้น ธ.ก.ส. จะเข้ามาร่วมส่งเสริมให้เกษตรกรก้าวสู่ความยั่งยืน เพื่อยกระดับศักยภาพเกษตรกรรายย่อยให้เป็นผู้ประกอบการธุรกิจสามารถต่อยอดธุรกิจการเกษตร แบบสร้างมูลค่าเพิ่มสร้างรายได้แบบยั่งยืน
พามาฟังแม่ทัพใหญ่อย่าง นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธ.ก.ส. ที่ได้กล่าวในงานว่า ตลอดระยะเวลา 60 ปี ที่ธ.ก.ส. อยู่เคียงข้างเกษตรกรไทยมาโดยตลอด พร้อมร่วมสร้างโอกาสเติมความรู้สร้างความมั่นคงให้ชีวิตแก่เกษตรกรไทยทั้งในอดีต และในอนาคตสร้างความมั่นคงยั่งยืนให้กับเกษตรกรไทย จะทำให้องค์กรที่ไม่ใช่เพียงแต่เป็นผู้ให้สินเชื่อ แต่จะเป็น “องค์รวม เนื้อเดียวกัน ซึ่งไม่สามารถแยกออกจากกันได้”
นอกจากจากนี้จะเป็นองค์กรที่พึ่งให้เกษตรกรรับมือโลกเกษตรกรรมที่ต้องเผชิญความท้าทายมาโดยตลอด จากการแข่งขันด้านเทคโนโลยีการผลิต การตลาด การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงความเปราะบางจากการสูงอายุของเกษตรกร ลูกหลานเกษตรกรออกจากภาคการเกษตร และการรับรู้ของคนทั่วไปที่มองงานด้านเกษตรเป็นงานที่หนักและมีรายได้น้อย
“ความท้าทายมากมายทำให้องค์กรเราต้องปรับตัว พร้อมปรับบทบาทในการเป็นกลไกสำคัญเพื่อยกระดับภาคเกษตรสนับสนุนการสร้างระบบนิเวศ ให้เติบโตภายใต้แนวคิด ‘Essence of Agriculture’ หรือ ‘แกนกลางการเกษตร’ ใช้จุดแข็งของ ธ.ก.ส. คือ “คนของเรา รักลูกค้า และ ลูกค้าเชื่อเรา”
ทั้งนี้การทำงานหลักๆของ ธ.ก.ส. จะเน้น 4 แกนที่สำคัญ ดังนี้
อย่างไรก็ตาม ธ.ก.ส. จะเดินหน้าสู่ “ธนาคารพัฒนาชนบทที่ยั่งยืน” ภายใต้การเปลี่ยนแปลง ต้องปรับวิธีคิด ปรับวิธีการทำงาน ใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนและส่งมอบการช่วยเหลือเกษตรกรอย่างมีประสิทธิภาพสูง พร้อมเป็นองค์กรที่จะช่วยทำให้เกษตรกรฟื้นตัวได้เร็ว ผ่านมาตรการบริหารจัดการหนี้ หรือการให้สินเชื่อที่สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริง และจะส่งเสริมเกษตรกรผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ เนื่องจากผู้บริโภคต้องการของคุณภาพสูง การตลาดที่ใช้เทคโนโลยี Logistic ที่สะดวก ไม่ใช่การตั้งแผงขายแบบเดิม ทั้งนี้เพื่อร่วมกันจุดประกายความคิดในการสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรและชุมชนอย่างยั่งยืน
ต่อมาพามาฟังมุมมองจากเกษตรกรที่ต่อยอด และใช้นวัตกรรมทำการเกษตรแล้วประสบความสำเร็จอย่าง ‘นายกฤษณะ ธรรมวิมล’ ผู้ก่อตั้งบริษัท ไดสตาร์ เฟรช จำกัด บรรยายพิเศษในหัวข้อ “ปลดล็อกศักยภาพเกษตรกรไทย: พลิกโฉมสู่รายได้ที่ยั่งยืน เขากล่าวว่า เทคโนโลยี และนวัตกรรมภาคการเกษตรที่ยังมีช่องว่างอีกมากให้พัฒนา โดยได้นำเสนอกรณีตัวอย่างของการพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรแนวตั้ง ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาปัจจัยทางธรรมชาติและสารเคมีที่มา แต่สร้างผลผลิตได้มากกว่าด้วยต้นทุนที่ใกล้เคียงกัน
ทั้งนี้มองว่าตัวเขาเอง เป็นแค่ต้นแบบเล็กๆ และอยากให้เกษตรกรไทยเข้าใจเรื่องจุดแข็งนำไปพัฒนาEcosystem ธุรกิจเกษตรกรไทย โดยที่ผ่านมา พบว่า เกษตรกรรายได้ไม่มั่นคง เจอโรคแมลง ผลผลิตไม่สม่ำเสมอ รวมถึงเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก ดอกเบี้ยสูง และใช้สารเคมีมากเกินไป โดยประเทศไทยใช้สารเคมีในการทำเกษตรเป็นอันดับ7 ของโลก อีกทั้งเกษตรกรไทยไม่มีการแปรรูป เพิ่มมูลค่าให้สินค้าเกษตรสักเท่าไหร่
ดังนั้นอยากให้ทุกคนกลับไปทำความเข้าใจว่านวัตกรรมการเกษตรเราเข้าใจจุดแข็งของมันแล้วนำไปสร้าง Ecosystem เพื่อนำไปสู่การสร้างรายได้ของเกษตรกร เกษตรกรไม่ได้ต้องการเงินร้อยล้านพันล้านแค่ต้องการให้ความเป็นอยู่กินอิ่มนอนหลับ และสร้างความยั่งยืน ซึ่งเราทำได้
ถัดมามาฟัง ผศ.ดร.ธีรพันธ์ โล่ห์ทองคำ ที่ปรึกษาและนักกลยุทธ์การตลาดและผู้เชี่ยวชาญด้านไอเอ็มซี บรรยายพิเศษหัวข้อ “ธ.ก.ส. แกนกลางเกษตร: กับระบบนิเวศการตลาด” เขาบอกว่า การบูรณาการเครื่องมือการตลาด และการวางเป้าหมายของ ธ.ก.ส.ให้เป็นมากกว่าธนาคาร แต่เป็นพันธมิตรของเกษตรกรในด้านการตลาด ด้วยดีเอ็นเอที่แข็งแกร่งในเรื่ององค์ความรู้เรื่องการเกษตร
ปิดท้ายกันที่ ศ.ดร.วรภัทร โตธนะเกษม กรรมการผู้จัดการ มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาองค์กรภาครัฐ (IRDP) บรรยายพิเศษในหัวข้อ “ปรับวิธีคิด: ผู้นำต้องกล้าฝันและลงมือสร้าง” และได้กล่าวว่า ความกล้าคิด กล้าฝัน และการร่วมมือกันเพื่อร่วมผลักดันให้เกษตรกรไปถึงจุดหมายอย่างยั่งยืนและสามารถต่อยอดสู่การเป็นผู้ประกอบการ
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นบนเวที BAAC EXCLUSIVE DINNER TALK 2025 AGRI REFORM ที่ ธ.ก.ส. มุ่งสร้างความเข้มแข็งเกษตรกร ด้วยแนวคิด “Essence of Agriculture”