SHORT CUT
เปรียบเทียบโครงการ "คนละครึ่ง" โรัฐบาลประยุทธ์ VS อนุทิน ในยุครัฐบาลอนุทินปรับเปลี่ยนเงื่อนไขสำคัญ โดยผู้ที่อยู่ในระบบภาษีจะได้รับสิทธิ์ร่วมจ่ายในอัตรา 60:40
สถานการณ์การเมืองไทยกำลังเข้มข้นขึ้นอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลใหม่ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจและความคาดหวังจากสังคมที่ตั้งคำถามว่า "รัฐบาลชุดนี้จะทำอะไรได้บ้างในเวลาเพียง 4 เดือน" ก่อนจะมีการเลือกตั้งใหม่
ภารกิจเร่งด่วนที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น เพื่อฟื้นฟูอำนาจซื้อของประชาชนและเรียกคะแนนนิยม ซึ่งนโยบายที่ถูกนำกลับมาใช้ทันทีคือโครงการ "คนละครึ่ง" ในเวอร์ชันใหม่นั่นเอง
โครงการ "คนละครึ่ง" ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อ บรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน และ กระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ซบเซาอย่างหนักจากวิกฤตโควิด-19 และมาตรการล็อกดาวน์ โครงการนี้เปิดตัวในช่วงปี 2563 ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลังและสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)
หลักการของโครงการคือ รัฐจะร่วมจ่าย 50% ของราคาสินค้า ให้กับประชาชนในชีวิตประจำวัน เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และของใช้จำเป็น
กลุ่มเป้าหมาย ประชาชนทั่วไปที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปและมีบัตรประชาชนไทย แต่ ไม่รวมผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซึ่งได้รับสิทธิ์ช่วยเหลือรูปแบบอื่นอยู่แล้ว
การใช้งาน ผู้ที่สนใจจะต้อง ลงทะเบียน ผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" และใช้จ่ายผ่านระบบ G-Wallet โดยรัฐจะโอนเงินสมทบให้อัตโนมัติในทุกการใช้จ่ายตามวงเงินที่กำหนด
ตลอดระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปี 2563 ถึง 2565 โครงการคนละครึ่งได้มีการขยายและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องรวม 5 เฟส โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้
รวมงบประมาณ: ใช้เงินรวมกว่า 3.4 แสนล้านบาท มีประชาชนเข้าร่วมโครงการรวมกว่า 30-35 ล้านคน และร้านค้ากว่า 1.5 ล้านราย
การกลับมาอีกครั้งของ "คนละครึ่ง 2.0" ในรัฐบาลชุดใหม่นี้ มาพร้อมแนวคิดที่น่าสนใจและแตกต่างจากเดิม เพื่อให้โครงการมีประสิทธิภาพและครอบคลุมมากขึ้น
หัวใจสำคัญของโครงการ "คนละครึ่ง 2.0" คือการปรับอัตราการสมทบเพื่อจูงใจให้คนเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น
งบประมาณสำหรับโครงการนี้ในเบื้องต้นมีเหลืออยู่จากโครงการเดิมของรัฐบาลชุดก่อนประมาณ 25,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้ทันที แต่หากต้องการขยายวงเงินให้ครอบคลุมมากขึ้น อาจต้องพิจารณาดึงงบประมาณจากงบกลางมาสมทบเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายกลุ่มผู้มีสิทธิ์เข้าร่วม โดยอาจลดอายุผู้เข้าร่วมเป็น 16 ปี และรวมกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อให้เงินกระจายสู่ประชาชนในวงกว้างอย่างแท้จริง
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรค ยืนยันว่าขณะนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำลังศึกษาและออกแบบรายละเอียดของโครงการอย่างจริงจัง ซึ่งคาดว่าโครงการจะสามารถเริ่มต้นได้ภายใน 2 สัปดาห์หลังจากการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีและแถลงนโยบาย
ที่มา : thansettakij
ข่าวที่เกี่ยวข้อง