SHORT CUT
"อนุทิน" ชี้ MOU 43-44 ต้องรอผล กมธ.ศึกษา เพราะกว่า 20 ปี ยังตกลงไม่ได้ หากไม่ได้ประโยชน์ต้องยกเลิก ชี้ ครม.ยกเลิกเองได้ แต่ให้เกียรติประชาชน ทูตรัศม์ยันเสียมากกว่าได้ เตือนสติคนไทยอย่าหลงกล “กลุ่มการเมืองบางกลุ่ม”
30 กันยายน 2568 ที่รัฐสภา นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยกรณี MOU ที่จะทำประชามติเป็น MOU 43-44 ตอนนี้เขาศึกษาทั้ง 43 และ 44 เราก็ยังต้องดูก่อนว่าการลงประชามติ ตอนนี้ กมธ.กำลังศึกษาอยู่ ต้องรอผลการศึกษาของเขาออกมาก่อน ว่ามีความชัดเจน และรัฐบาลประเมินแล้ว อาจจะไม่ต้องทำประชามติ และอาจจะยกเลิกโดยคณะรัฐมนตรีเลยก็ได้
เพราะการยกเลิก MOU 43-44 อยู่ที่คณะรัฐมนตรี เพียงแต่ว่าอยากให้ประชาชนมีส่วนร่วม ไม่ใช่โยนภาระ คนที่คิดไม่ดีก็บอกว่าเราโยนภาระให้กับประชาชน จริงๆเป็นการให้เกียรติประชาชนมากกว่า เพราะเรื่องอะไรก็ตาม ที่มีความแตกต่างด้านความคิด และเป็นเรื่องที่คนให้ความสนใจเกี่ยวข้องกับอธิปไตยด้านความมั่นคงของประเทศ และเป็นเรื่องที่ทอดยาวมานานแล้ว เราก็อยากจะถามประชาชน แต่ถ้าผลศึกษาออกมาชัดเจนว่า ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ไม่ได้เปรียบอะไรเลยประเทศไทยไม่ได้เปรียบอะไรเลย
ซึ่ง ณ ขณะนี้เราอยู่ในสถานะที่ประเทศไทยไม่ได้เปรียบกัมพูชา เราเลือกประเทศไทยก่อน เพราะฉะนั้นถ้ามีความชัดเจนอาจจะยกเลิกเลยก็ได้โดยคณะรัฐมนตรี ขอย้ำว่านี่เป็นการให้เกียรติประชาชน ถ้าถามตนถ้าตนทำเองตนยกเลิกไปแล้ว
"คำว่า MOU คือ Memorandum of Understanding ถ้าเป็น MOU ทั่วไปจะเขียนภายใน 2 ปี ถ้ายังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ก็ต้องถือว่าเป็นอันสิ้นสุดไป เขาเขียนกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นผมก็ต้องไปดูบริบทใน MOU 43 , 44 ก่อน ว่ามีการสิ้นสุดไปของ MOU นี้หรือไม่อย่างไร ถ้าไม่ได้กำหนดเลย ก็ต้องบอกว่าแล้วเข้าใจอะไรกันกว่า 20 ปี ไม่เข้าใจ ยังหาข้อตกลงไม่ได้ และยังห่างจากการบรรลุข้อตกลง แล้วจะเก็บไว้ทำไม เก็บไว้ให้เป็นประโยชน์ของใคร ถ้าประเทศไทยไม่ได้ประโยชน์ ถ้าประเทศไทยได้ประโยชน์ก็จะเก็บ ถ้าประเทศไทยไม่ได้ประโยชน์ก็ยกเลิก" นายอนุทินกล่าว
MOU ปกติ ภาษากฎหมายเขาบอกว่าไม่มี legal binding (ข้อผูกมัดทางกฎหมาย) ถ้าเกิดอยากจะให้มัน Binding agreement ให้มีข้อผูกมัดผูกพันกันเหมือนของตนกับพรรคประชาชนที่ทำ MOA อันนี้ผูกมัดผูกพันเบี้ยวไม่ได้ภายใน 4 เดือน ต้องยุบสภา แต่ MOU คือ การเข้าใจกันเมื่อไม่เข้าใจกันเมื่อไหร่ก็เลิก นี่คือการตีความเบื้องต้นของตัวเอง ซึ่งก็ต้องถามผู้รู้ทางกฎหมาย
เมื่อถามว่า ต้องถามฝ่ายความมั่นคงด้วยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า นี่คือเรื่องของคณะรัฐมนตรีถ้าเกิดการตัดสินใจก็ต้องตัดสินใจโดยคณะรัฐมนตรี ฉะนั้นจะต้องรอคณะกรรมาธิการก่อน ถึงจะทราบว่าในวันเลือกตั้งจะมีการทำประชามติเรื่องนี้ด้วยหรือไม่
รัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงถึงผลได้ผลเสียและตอบทุกข้อสงสัยอย่างตรงไปตรงมา โดยยืนยันว่าการยกเลิก MOU ในขณะนี้ จะทำให้ไทยเสียเปรียบและเข้าทางกัมพูชา
เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจพื้นฐานว่า MOU ทั้งสองฉบับ ไม่ใช่ผลลัพธ์สุดท้ายของการเจรจา แต่เป็นเพียง “กรอบการเจรจา” (Framework for Negotiation) ที่สองประเทศตกลงร่วมกันเพื่อกำหนดกติกาในการพูดคุย โดยท้ายที่สุด ผลลัพธ์ของการเจรจาจะต้องนำเข้าสู่การเห็นชอบของรัฐสภาก่อนจึงจะมีผลทางกฏหมายแท้จริง
“MOU 43 เป็นการกำหนดกติกาว่าเราจะคุยกันเรื่องอะไรบ้าง มีวาระอะไรบ้าง โดยมีสาระสำคัญคือ 1) การแก้ปัญหาต้องเป็นการเจรจาทวิภาคีโดยสันติ 2) มีคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) เป็นกลไกหลักในการคุย และ 3) ระบุเอกสารอ้างอิงที่จะใช้ร่วมกัน” นายรัศม์กล่าว
ในอดีตเคยมีการประชุม JBC กันมาก่อนที่จะมี MOU แต่การเจรจาเป็นไปอย่างไม่มีทิศทาง จึงได้สร้าง MOU 43 ขึ้นมาเพื่อให้การพูดคุยมีแบบแผนที่ชัดเจนขึ้น
สำหรับข้อเสนอให้ยกเลิก MOU นายรัศม์ชี้ว่า การยกเลิกนั้นสามารถทำได้ แต่ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศจะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งประกาศยกเลิกแล้วจะมีผลทันที
“สมมติว่าเรายกเลิกไป วันหนึ่งเมื่อจะกลับมาเจรจากันใหม่ สุดท้ายก็ต้องมานั่งตกลงกันเพื่อสร้างกรอบการเจรจาขึ้นมาอีกอยู่ดี ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรกับการทำ MOU ฉบับใหม่”
ประเด็นสำคัญที่สุดที่นายรัศม์เน้นย้ำคือ “ปัจจุบันกัมพูชาเป็นฝ่ายที่กำลังละเมิดข้อตกลงใน MOU 43 อยู่แล้ว” ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่ที่ตกลงกันว่าห้ามเปลี่ยนแปลง หรือความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการเจรจาทวิภาคีตามกรอบ JBC เพื่อนำเรื่องไปสู่เวทีอื่น เช่น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ยิ่งยกเลิกก็ยิ่งเข้าทางเขา
“พูดให้เข้าใจง่ายๆ MOU43 คือเงื่อนไขสำคัญที่ยังดึงให้กัมพูชากลับสู่โต๊ะเจรจากับไทย”
รัศม์ กล่าวว่า แม้จะชื่อว่า MOU แต่ในทางกฎหมายระหว่างประเทศมีสถานะเทียบเท่าสนธิสัญญาที่มีพันธกรณีผูกมัด ทุกวันนี้กัมพูชาพยายามจะหนีจากพันธกรณีนี้ ดังนั้น หากเราเป็นฝ่ายยกเลิก MOU ตอนนี้ ก็จะเข้าทางเขาเลย เพราะเท่ากับเราปลดปล่อยเขาออกจากพันธกรณีที่ต้องคุยกับเราในโต๊ะเจรจา การที่เรายังยืนยันใน MOU นี้ ก็เพื่อจะชี้ให้โลกเห็นว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายที่ไม่ทำตามข้อตกลง
เมื่อข้อเท็จจริงเป็นแบบนี้ แปลว่าพรรคการเมืองที่เสนอให้ยกเลิกข้อตกลงนี้ รับงานใครมาหรือไม่?”
รัศม์ กล่าวว่า แปลกใจที่เห็นบางพรรคออกมาเรียกร้องให้ยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับ ทั้งที่พรรคดังกล่าวที่เคยอยู่ร่วมในรัฐบาลก่อนหน้าร่วมสิบปีที่แล้ว ก็ไม่เคยคัดค้านอะไรแสดงว่าย่อมเห็นด้วย แต่วันนี้มาเปลี่ยนท่าทีแบบไร้หลักการ ก็ทำให้น่าสงสัยในเจตนาและความบริสุทธิ์ใจ