SHORT CUT
นายกฯ ชู “Sustainability” เป็น “ทางรอด” ของชาติ วางรากฐานรับมือโลกผันผวน ทั้งเศรษฐกิจ-สังคม-สิ่งแวดล้อม แนะไทยต้องปรับตัว!ไม่ใช่การต่อสู้รับมือสงครามการค้า ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ โลกรวน
เรียกได้ว่าไฟแรงมากๆสำหรับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทย อย่าง ‘นายอนุทิน ชาญวีรกูล’ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ล่าสุดได้มากล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ยกระดับอุตสาหกรรม-การค้า-การลงทุนสู่ความยั่งยืน” จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ ร่วมกับ Sustainability Expo 2025 ลั่นประกาศวิสัยทัศน์การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยระบุว่านี่ไม่ใช่ "ทางเลือก" แต่เป็น "ทางรอด" ท่ามกลางความท้าทายของโลก ทั้งภัยสงคราม การแข่งขันทางการค้า และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมชูนโยบายสำคัญเพื่อการปรับตัว (Adaptation) ทั้งด้านการค้า การลงทุน สาธารณสุข และพลังงานสะอาด เพื่อสร้างความมั่นคงให้ประเทศในระยะยาว
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้ให้ความหมายของ ความยั่งยืน (Sustainability) ว่าไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อมหรือโลกสีเขียว แต่ต้องประกอบด้วย 3 หลักสำคัญที่ต้องเดินหน้าไปพร้อมกันอย่างมั่นคง ได้แก่
1. เศรษฐกิจที่มั่นคง สร้างงาน สร้างรายได้ ให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี
2. สังคมที่มั่นคง ดูแลสังคมและคุณภาพชีวิตของคนทุกช่วงวัย เพื่อให้คนรุ่นต่อไปสามารถอยู่ได้อย่างมีสุขภาวะที่ดี
3. สิ่งแวดล้อมที่เป็นมิตรและมั่นคง รักษาสิ่งแวดล้อมเพื่ออนาคตของลูกหลาน
นายกฯ ย้ำว่า รัฐบาลต้องวางรากฐานที่ยั่งยืน (Sustainable) เพื่อให้รัฐบาลชุดต่อไปสามารถต่อยอดได้ ไม่ใช่การทำนโยบายระยะสั้นแบบ "ควิกวิน" (Quick Win) ที่อาจถูกล้มเลิกในอนาคต และต้องการปรับตัว (Adaptation) ท่ามกลางความขัดแย้งและเศรษฐกิจโลก
โลกปัจจุบันกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง ทั้งสงครามการค้า และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่ทำให้กฎเกณฑ์ทางการค้าซับซ้อนขึ้น นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า แนวทางของไทยคือ "การปรับตัว" (Adaptation) ไม่ใช่การต่อสู้ ตัวอย่างเช่น เมื่อถูกขึ้นภาษีต้องมองหาตลาดอื่นเป็นทางเลือก (Alternative) และใช้กลไกการเจรจาต่อรอง โดยชี้ให้เห็นว่าหากคู่ค้าสูญเสียประเทศไทยไป ผู้ที่เดือดร้อนก็คือประชาชนในประเทศของเขาเอง
ในด้านการค้าและการลงทุน ประเทศไทยมีศักยภาพสูงสุดในภูมิภาคอาเซียนจากตำแหน่งที่ตั้งที่เป็นศูนย์กลาง (ไข่แดง) และเป็นจุดเชื่อมต่อ East-West Corridor เป้าหมายคือต้องทำให้ไทยเป็นมากกว่าทางผ่าน แต่ต้องเป็นศูนย์กลางที่ดึงดูดให้คนต้อง "แวะ ใช้ ผลิต และลงทุน" รัฐบาลพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการอย่างเต็มที่ แต่ต้องไม่ให้กลุ่มทุนมาชี้แนะรัฐบาล เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมและโปร่งใส
รับมือปัญหาสังคมสูงวัยและโลกร้อนด้วยนโยบายเชิงรุก
1.ด้านสาธารณสุขและสังคมสูงวัย (Aging Society)
รัฐบาลยอมรับว่าปัญหาสังคมสูงวัยเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น และกระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมพร้อมรองรับแล้ว
จำเป็นต้องเตรียมงบประมาณมหาศาลสำหรับหลักประกันสุขภาพ (สปสช. หรือบัตรทอง 30 บาท) เพื่อดูแลสุขภาพคนไทยที่มีอายุขัยยืนยาวขึ้นเงินทุนเหล่านี้มาจากการเก็บภาษี ซึ่งรัฐบาลต้องสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเติบโตและสร้างรายได้เข้าประเทศ
พร้อมกันนี้ได้มีการ ชู "โมเดลโรงพยาบาลปิยมหาราชการุณย์" ที่นำกำไรจากส่วนบริการพรีเมียมมาสนับสนุนการดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลรัฐ (ศิริราช) ซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถนำไปปรับใช้กับโรงพยาบาลอื่นได้ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพ (Health and Rehabilitation) สำหรับชาวต่างชาติ
2. ด้านสิ่งแวดล้อมและภาวะโลกร้อน
ภาคอุตสาหกรรมที่ใช้คาร์บอนในการผลิตจะเสียเปรียบในการแข่งขัน รัฐบาลจึงให้แรงจูงใจ (Incentive) สำหรับผู้ที่ใช้พลังงานสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
รัฐบาลชุดนี้จะผลักดันนโยบาย "โซลาร์ชุมชน" หรือ "โซลาร์มวลชน" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ริเริ่มตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว โดยให้แต่ละชุมชนสามารถรวบรวมไฟฟ้าส่วนเกินจากหลังคาโซลาร์เซลล์ไปขาย สร้างรายได้กลับมาพัฒนาชุมชนได้ เหมือนกับการขายผลิตภัณฑ์ชุมชนหรือคาร์บอนเครดิต
นายกรัฐมนตรี ทิ้งท้ายว่า รัฐบาลพร้อมรับฟังและสนับสนุนผู้ประกอบการในทุกมิติ เพื่อให้ความยั่งยืนเกิดขึ้นทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพอย่างเป็นรูปธรรม โดยจะวางรากฐานภายใต้แนวคิด "Sufficiency for Sustainability" คือการทำแต่พอเพียง แต่ให้เกิดความยั่งยืนยาวนาน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง