อนุทินปิดแถลงนโยบาย ลุยทำหน้าที่เต็มรูปแบบ ก่อนยุบสภาใน 4 เดือน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวขอบคุณสมาชิกรัฐสภา หลังการแถลงนโยบายในวันที่ 30 ก.ย. 68 เพื่อให้รัฐบาลจะได้ไปบริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ทั้งยังขอขอบทุกคนที่ให้คำแนะนำ ความรู้ การเสนอแนะและอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งนายอนุทินยืนยันว่า ทุกคนจะรับฟังและนำไปเป็นข้อคิดแนวทางในการบริหารราชการแผ่นดินให้มีประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป

นายอนุทิน ยืนยันว่า 2 วันมี่ผ่ายนี้มีคุณค่ายิ่งสำหรับรัฐบาลชุดปัจจุบัน และขออภัยผู้อภิปรายบางท่านที่ตนต้องลุกขึ้นมาตอบโต้เพื่อนำข้อเท็จจริงมาชี้แจงแถลงไขให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบ ถึงแม้ว่าหลายๆ เรื่องเป็นการอภิปรายที่มีความแตกต่างจากข้อเท็จจริงมากอยู่พอสมควร แต่เราจะมีเวทีที่จะทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนให้กระจ่างชัดต่อไป 

นอกจากนี้นายอนุทินยังให้คำมั่นด้วยว่า ในฐานะนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรวมถึงรัฐมนตรีทุกท่านในคณะรัฐบาลของผม เราจะไม่ใช้อำนาจที่ได้รับมอบหมายจากพี่น้องประชาชนมากระทำการสิ่งใดที่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง หรือช่วยเหลือให้ตนเองพ้นจากสิ่งที่ได้ทำผิดไป และถ้าพบว่าผู้ใดทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย นายอนุทินจะเป็นคนเร่งรัดและดำเนินการด้วยตัวเอง

แม้จะยอมรับว่าเสียใจที่ทุกๆ ท่านที่เคยทำงานร่วมกันมา จะต้องมานั่งโต้เถียงกันเพราะคำว่าการเมือง แต่นายอนุทินก็ขอยืนยันอีกครั้งว่าการตอบโต้ในห้องประชุมสภาแห่งนี้ ถือว่าเป็นการทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายมา อย่าถือเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ทะเลาะกันให้ประชาชนเสียประโยชน์ เราต้องทำในสิ่งที่ดี ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน

ส่วนเรื่องการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง นายอนุทินบอกว่า 4 เดือนนี้ขอให้ทุกคนแข่งกันทำความดีให้พี่น้องประชาชน แข่งกันด้วยความขาวสะอาด และให้พี่น้องประชาชนตัดสินใจว่าเขาจะเลือกใครเข้ามาทำงาน

ในส่วนของรัฐธรรมนูญ นายอนุทินขอยืนยันกับผู้ที่ลงนามเอ็มโอเอกับตนว่า 4 เดือนจากนี้ รัฐบาลไทยจะไม่ใช่เป็ดง่อย โดยอ้างจากคำกล่าวของหัวหน้าพรรคประชาชนที่บอกว่า นโยบายหลักของรัฐบาลชุดนี้คือ ‘ยุบสภา’ และ ‘แก้ไขรัฐธรรมนูญ’ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างแน่นอน โดยจะเริ่มยุบสภาภายใน 4 เดือนและเริ่มแก้ไขรัฐธรรมนูญ

สำหรับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รับฐาลจะดำเนินการให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและเปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญด้วย ว่าจะทำได้ด้วยประสิทธิภาพที่มีมากเพียงใด