SHORT CUT
“ภคมน” อัดรัฐบาล “อนุทิน” ส่อเดินหน้าแลนด์บริดจ์ทั้งที่รู้ไม่คุ้มค่า ชี้ภาคใต้เสียเวลากับเรื่องนี้นานเกินไปจนเสียโอกาสพัฒนาโครงการอื่น ดักอย่าคิดเอาโครงการใหญ่ไปโฆษณาแล้วชาวใต้จะเลือก ขอคิดถึงการพัฒนาที่ถึงมือประชาชนจริง ไม่ใช่ได้แค่เงินทอน
วันที่ 29 กันยายน 2568 ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของคณะรัฐมนตรี ภคมน หนุนอนันต์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้อภิปรายถึงโครงการแลนด์บริดจ์ โดยระบุว่าตนแปลกใจที่รัฐบาลที่มีเวลาแค่ 4 เดือน โดยทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้หยิบยกโครงการแลนด์บริดจ์ขึ้นมาสื่อสารต่อสาธารณะว่าจะเดินหน้าโครงการต่อ แม้จะไม่อยู่ในคำแถลงนโยบาย
แลนด์บริดจ์คือการสร้างทางลัดเพื่อเชื่อมต่อท่าเรือสองฝั่งทะเล นั่นคือท่าเรืออันดามันที่จังหวัดระนอง และท่าเรืออ่าวไทยที่จังหวัดชุมพร ซึ่งโดยปกติเรือขนส่งสินค้าที่เดินทางระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก จะต้องแล่นเรืออ้อมผ่านประเทศไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ โดยใช้เส้นทางช่องแคบมะละกา ซึ่งค่อนข้างแออัด รัฐไทยจึงมีการเสนอโครงการแลนด์บริดจ์ โดยหวังว่าเรือจะไม่ต้องอ้อมผ่านช่องแคบมะละกา ประหยัดเวลา ประหยัดต้นทุน
แต่ความเป็นจริงไม่ได้ง่ายแบบนั้น เพราะแลนด์บริดจ์เป็นเส้นทางบก ไม่ใช่เส้นทางน้ำที่เรือแล่นผ่านตรงได้ จะข้ามทีก็ต้องขึ้นมาบนบกก่อน ผู้ประกอบการการเดินเรือต้องมีเรืออย่างน้อยสองลำ จากปกติบริษัทขนส่งสินค้าใช้เรือแล่นผ่านช่องแคบมะละกา แต่ถ้าใช้แลนด์บริดจ์ต้องเสียค่าบริการเพิ่ม เช่น ค่าขนของขึ้น-ขนของลง รวมถึงค่าเดินทางจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง ระยะทางกว่า 90 กิโลเมตร ต้นทุนเพิ่มแล้วแน่ๆ แลนด์บริดจ์จึงถูกทักท้วงมาตลอดว่าไม่ควรทำ เพราะไม่รู้ว่าใครจะมาใช้ แต่รัฐบาลที่ผ่านมาจนถึงรัฐบาลนี้ก็ยังไม่ยอมตัดใจ
.
โครงการแลนด์บริดจ์จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ร่าง พ.ร.บ.ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) ที่จะทำให้เกิดการรวมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ และการสร้างข้อยกเว้นทางกฎหมาย ให้สิทธิพิเศษเหนือที่ดินแก่กลุ่มทุน และเปิดโอกาสให้ต่างชาติเช่าที่ดินชั่วลูกชั่วหลาน หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศกำหนดพื้นที่ SEC เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 ต่อมาในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมจากพรรคภูมิใจไทยในขณะนั้น ได้สั่งให้ สนข. ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการแลนด์บริดจ์ ต่อมาในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย โครงการแลนด์บริดจ์ได้ถูกตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างหนัก
ทุกวันนี้หลายคำถามที่ประชาชนสงสัยเกี่ยวกับโครงการแลนด์บริดจ์ก็ยังไม่ได้คำตอบ แต่รัฐบาลก็ยังคงฉายภาพว่าโครงการแลนด์บริดจ์คือโอกาสที่ประเทศไทยจะเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งตนมองว่าไม่ได้เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่เป็นโอกาสให้พรรครัฐบาลใช้หาเสียงสร้างคะแนนนิยมกับประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลรู้อยู่แล้วว่าโครงการแลนด์บริดจ์ไม่คุ้มค่า เพราะทั้งรายงานของ สนข. และรายงานของกรรมาธิการวิสามัญต่างก็ตกแต่งตัวเลขกำไรของโครงการแบบเกินจริง
รายงานของ สนข. และของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาความคุ้มค่าโครงการแลนด์บริดจ์ ระบุว่าโครงการแลนด์บริดจ์จะคืนทุนภายใน 24 ปี โดยในปีแรกๆ ของการดำเนินโครงการแลนด์บริดจ์ จะมีรายได้ 58,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายน้ำมันให้เรือสินค้า 50,000 ล้านบาท และอีก 8,000 ล้านมาจากการใช้บริการท่าเรือขนส่งสินค้า แต่ถ้าจะขายน้ำมันให้ได้กำไรขนาดนั้น ต้องขายน้ำมันให้ได้ปีละ 140 ล้านตันต่อปี ขณะที่ท่าเรือสิงคโปร์ที่ใหญ่โตกว่ายังขายได้แค่ปีละ 45 ล้านตัน ซึ่งไม่สมเหตุสมผล
ภคมนกล่าวต่อไปว่านอกจากนี้ตารางผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของ สนข. ยังระบุว่าในปี 2574 จะได้ค่าธรรมเนียมท่าเรือ 6,000 ล้านบาท ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่า เป็น 57,000 ล้านบาทในปี 2583 และกลายเป็น 1 แสนล้านบาทในปี 2593 ในขณะที่ค่าดำเนินการและบำรุงรักษาของโครงการกลับเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ซึ่งไม่สมเหตุสมผล แสดงให้เห็นว่ามีการตกแต่งตัวเลขรายได้โดยไม่ได้คำนึงถึงค่าใช้จ่ายของโครงการ ทำให้โครงการแลนด์บริดจ์มีตัวเลขกำไรสูงเกินจริง
นอกจากนี้รายงานของ สนข. ยังระบุอีกว่าโครงการแลนด์บริดจ์จะให้ผลตอบแทนทั้งด้านการเงินและเศรษฐกิจที่ดีเยี่ยม คิดตามมูลค่าปัจจุบันคือมีกำไร 2.6 แสนล้านบาท ขณะที่สภาพัฒน์ฯ จ้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศึกษา ระบุว่าโครงการนี้จะขาดทุน 1.2 แสนล้านบาท และต่อให้รวมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอื่นๆ แล้วก็ยังไม่คุ้มค่ากับการลงทุน นอกจากนี้นักวิชาการประมงยังประมาณการตัวเลขว่าหากทำแลนด์บริดจ์ จะเกิดการสูญเสียรายได้จากการทำประมงไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี
ทั้งรายงานกรรมาธิการและรายงาน สนข. ต่างไม่สามารถตอบเรื่องความคุ้มค่าของโครงการนี้ได้ ตนจึงไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลถึงพยายามที่จะเข็นโครงการนี้ออกมาให้ได้ หลายคนในรัฐบาลนี้เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จในภาคธุรกิจ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ว่าจะอย่างไรโครงการนี้ก็ไปไม่รอด
“หรือว่าพวกท่านไม่ได้คำนวณความคุ้มค่าในระดับเดียวกันกับพวกเรา หรือว่าจริงๆ แล้วท่านไม่ได้มองถึงความคุ้มค่าของประเทศไทย สำหรับพวกท่านมันไม่ได้สำคัญว่าจะมีเรือมาใช้บริการแลนบริดจ์เยอะจริงแค่ไหน หรือสำหรับท่านแค่เริ่มสร้างแลนด์บริดจ์ได้ก็คุ้มแล้ว ไหนจะราคาที่ดินรอบๆ ที่จะพุ่งสูงขึ้น แถมยังเปิดช่องให้ทุนต่างชาติเข้ามาสัมปทานรับเหมาก่อสร้างอีก หรือที่คิดกันมีแต่เรื่องผลประโยชน์ โดยไม่สนใจผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่”
ภคมนกล่าวต่อไปว่าโครงการแลนด์บริดจ์เดิมในรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน และ แพทองธาร ชินวัตร โฆษณามูลค่าโครงการไว้ 1 ล้านล้านบาท มาถึงรัฐบาลอนุทินลดเหลือ 9.97 ล้านบาท โดยอ้างว่าปรับลดให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน และต่อให้รัฐบาลก็ไม่ได้ลงทุนเอง แต่เป็นการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนหรือ PPP ก็จำเป็นต้องพิสูจน์ความคุ้มค่าให้ได้ หากตอบไม่ได้ว่าแลนด์บริดจ์คุ้มค่าอย่างไรแล้วนักลงทุนที่ไหนจะมาลงทุน ถ้าหาคนมาลงทุนไม่ได้ประเทศไทยจะมีต้นทุนที่ต้องจ่ายเป็นค่าเสียโอกาสอีก
2 ปีที่ผ่านประเทศไทยเสียเวลามามาก รัฐบาลเศรษฐาและแพทองธารดันทุรังมุ่งมั่นทุ่มงบประมาณไปโรดโชว์ขายโครงการแลนด์บริดจ์มาหลายประเทศ ทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเลขความคุ้มค่าของโครงการนี้เท่าไหร่กันแน่ สุดท้ายผลออกมาไม่มีแม้กระทั่งรายชื่อนักลงทุนที่มีแนวโน้มจะลงทุนจริงด้วยซ้ำ 4 เดือนหลังจากนี้หากรัฐบาลยืนยันเดินหน้าต่อก็จะหานักลงทุนมาสร้างแลนด์บริดจ์ไม่ได้ แม้จะติดต่อเจรจาเก่งแค่ไหนแต่นักลงทุนที่จะมาลงทุนในโครงการใหญ่ขนาดนี้ย่อมไม่ได้เชื่อแค่รายงานของรัฐบาลไทย แต่จะต้องศึกษาเองด้วย และเมื่อได้ศึกษาผลก็จะออกมาก็ชัดว่าไม่คุ้มทั้งด้านการเงินและด้านสิ่งแวดล้อม
ภคมนกล่าวต่อไปว่าต้องไม่ลืมว่าพื้นที่ของแลนด์บริดจ์คือพื้นที่ของมรดกโลก 6 แห่ง ถ้าสร้างแลนด์บริดจ์ จะเกิดความเสี่ยงมหาศาล ที่ความอุดมสมบูรณ์ของสถานที่เหล่านี้จะถูกทำลาย ที่พูดมาทั้งหมดตนไม่ได้ไม่อยากเห็นการพัฒนาในภาคใต้ แต่ตนอยากเห็นการลงทุนที่เป็นจริง ดึงศักยภาพพื้นที่มาต่อยอด ตนอยากเห็นการพัฒนาที่ถึงมือประชาชน ซึ่งถ้าคิดแบบแลนด์บริดจ์ ตนคิดว่าไม่ถึงมือประชาชนแน่นอน และประชาชนจะได้แต่ส่วนที่ทอนเท่านั้น
4 เดือนสำหรับอายุรัฐบาล ตนเสนอให้รัฐบาลตั้งหลักการพัฒนาแบบที่ต่อยอดเส้นทางที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น ไม่ผลาญงบประมาณ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ประเทศไทยเสียเวลากับเรื่องแลนด์บริดจ์และคลองไทยมานานจนภาคใต้เสียโอกาสการพัฒนา เพราะหน่วยงานราชการจำเป็นที่จะต้องชะลอโครงการพัฒนาภาคใต้อื่น ๆ เพื่อรอดูว่ารัฐบาลจะทำโครงการแลนด์บริดจ์จริงหรือไม่ เช่น การพัฒนาท่าเรือระนองที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น ขุดลอกร่องน้ำให้ลึกขึ้น ปรับผังเมืองให้จังหวัดระนองเอื้อต่อการค้าระหว่างประเทศ ยกระดับให้เป็นประตูการค้าทางทะเลฝั่งอันดามันสู่เมียนมาและเอเชียใต้ ส่วนจังหวัดอื่นในภาคใต้ก็พัฒนาการขนส่ง ทั้งทางราง ทางบก ทางอากาศ ควบคู่กันไป ให้ทุกจังหวัดสามารถกระจายสินค้าเชื่อมต่อกันได้ หรือจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ละจังหวัดผ่านการยกระดับอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหารทะเล ไบโอเทคด้านการเกษตร
อีกตัวอย่างคือโครงการท่าเรือสงขลา ถ้ากลับไปดูและสนใจพัฒนา ใช้เวลาไม่นานก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากท่าเรือสงขลาเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภาคใต้ตอนล่างได้ และไปยกระดับเส้นทางรถไฟทางคู่ที่รัฐมีโครงการจะทำอยู่แล้ว ให้เชื่อมต่อท่าเรือปีนังกับหาดใหญ่-สงขลาด้วยการขนส่งทางราง เชื่อมโยงเส้นทางขนส่งสินค้าผ่านแดนไปยังฝั่งมาเลเซีย เชื่อมต่อด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ ข้อเสนอทั้งหมดนี้รับรองคุ้มค่าทั้งงบประมาณและระยะเวลาดำเนินการแน่นอน
กรณีที่รัฐมนตรี พิพัฒน์ รัชกิจประการ ตั้งเป้าจะได้ สส. ภาคใต้ 30 คนในการเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้าท่านคิดว่าจะชนะในพื้นที่ภาคใต้เพราะนโยบายแลนด์บริดจ์ ตนเห็นว่าคิดแบบนี้ง่ายไปหน่อย คิดแค่ว่าจะชนะใจประชาชนได้ด้วยการพูดถึงโครงการขนาดใหญ่ มูลค่าเยอะๆ เม็ดเงินมหาศาลไว้ก่อน จริงอยู่ที่การพูดถึงโครงการอย่างแลนด์บริดจ์มันดูใหญ่โต คนใต้เขาเรียก “ตั้งท่าซะน่าหรอย แต่เอาเข้าจริงไม่มีอะไร” ของหรอยภาคใต้มีเยอะแล้ว ตอนนี้ประชาชนภาคใต้ต้องการของจริง นโยบายการพัฒนาที่เป็นจริง คุ้มค่า และยกระดับคุณภาพชีวิตได้จริงๆ